แคปชั่น คำคม ภาษาอังกฤษ เพื่อน ความรัก คิดบวก ฮวงจุ้ยบ้าน

4 ข้อ หลุดพ้นปัญหาผ่อนรถไม่ไหว

 

คงต้องยอมรับกันจริง ๆ จัง ๆ เสียแล้ว ว่าตั้งแต่มีนโยบายรถคันแรกออกมา ก็ทำให้คนไทยเป็นหนี้ไฟแนนซ์กันมากขึ้น เหตุจากผ่อนไม่ไหว ถึงแม้ว่ารถยนต์ในปัจจุบันจะมีราคาไม่มากนักก็ตาม ซึ่งปัญหาที่เจอส่วนมากจากไฟแนนซ์ก็มักจะเป็นการทวงหนี้ และการขู่ว่าจะยึดรถ (บางเจ้าก็ยึดไปจริง ๆ) ซึ่งก็สร้างความเสียดายให้กับเจ้าของรถอยู่เหมือนกัน บางรายอาการน่าเป็นห่วง เพราะไปค้ำประกันให้เพื่อน หรือถูกคนอื่นยืมชื่อไปซื้อรถ ถึงเวลาก็ไม่มีจ่าย จนต้องมาถูกทวงหนี้ด้วยตัวเอง เห็นหรือไม่ว่าอันที่จริงแล้วปัญหาเกี่ยวกับไฟแนนซ์มีเยอะมากมาย แต่คนภายนอกอาจจะไม่ค่อนรู้กัน เพระาฉะนั้นวันนี้เราจะมาแนะนำปัญหาและวิธีแก้ปัญหาแบบง่าย ๆ ให้ลองนำไปใช้กันดู สำหรับคนที่มีปัญหากับไฟแนนซ์อยู่ในขณะนี้

 

4 ข้อ หลุดพ้นปัญหาผ่อนรถไม่ไหว

และนี่คือปัญหาอันดับ 1 ของผู้ซื้อรถยนต์ที่มีปัญหากับไฟแนนซ์ สำหรับคนที่พึ่งจะผ่อนได้ไม่นานก็อาจจะไม่มีปัญหาเท่าไรนักถ้าไฟแนนซ์จะมายึดรถกลับไป (อาจจะมีเสียดายเล็ก ๆ แต่ควรโล่งใจมากกว่า) แต่สำหรับผู้ที่ผ่อนมาได้สัก 2-3 ปี หรือผ่อนมาได้ครึ่งทางแล้ว ย่อมต้องเกิดความรู้สึกเสียดายอย่างแน่นอนถ้าหากว่าจะถูกยึดรถ และอาจจะมีความเครียดจากการถูกทวงหนี้อีกด้วย เพราะฉะนั้นเราขอแนะนำวิธีเจรจากับไฟแนนซ์แบบง่าย ๆ ดังต่อไปนี้

 

1.คืนรถ

เป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่พึ่งซื้อรถมาได้ไม่นาน ถ้าหากว่ามีการชำระเงินตรงต่อเวลามาโดยตลอด และตัดสินใจจะคืนรถเอง ก็จะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรมากมายในการคืน นอกจากค่าส่วนต่างในกรณีที่ขายรถแล้วเกิดการขาดทุนนั่นเอง แต่ถ้าหากต้องการคืนรถโดยมีการติดค้างค่าผ่อนชำระหลาย ๆ งวด ก็จะต้องชำระค่าเสียหายเพิ่มเติมอีกมากมาย

 

2.ขายให้บุคคลอื่นแบบเปลี่ยนสัญญา

ง่าย ๆ ก็คือขายขาดไปเลย เงินที่ได้มาก็นำไปปิดไฟแนนซ์เสีย วิธีนี้อาจจะทำให้ขาดทุนพอสมควร แต่ก็ดีกว่าที่จะต้องมาแบกรับกับค่าใช้จ่ายและหนี้ในอนาคตที่อาจจะหาทางออกไม่ได้

 

3.รีไฟแนนซ์

ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก สำหรับผู้ที่ต้องการจะเก็บรถไว้ต่อไป เพียงแค่เจรจากับไฟแนนซ์เพื่อทำการยืดระยะเวลาในการผ่อนออกไป เช่น หากเคยผ่อน 48 เดือน ก็อาจจะขอเพิ่มเป็น 60 เดือน แน่นอนว่าจะต้องมีค่าใช้จ่ายและดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น แต่รถก็ยังอยู่กับเรา และภาระค่าใช้จ่ายก็จะลดลงฝจนไม่รู้สึกหนักมาก

 

4.ขอผ่อนเฉพาะดอกเบี้ย

เป็นวิธีที่ไม่ค่อยแนะนำเท่าไร เพราะเงินต้นจะไม่ลดลงเลย แต่ก็เป็นทางออกที่ดี หากผู้ซื้อรถมั่นใจว่าในอนาคตจะสามารถหาเงินก้อนมาปิดได้ และจะต้องรีบหาเงินต้นมาปิดให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นอาจต้องจ่ายดอกเบี้ยบานเลยทีเดียว

 

ค้ำประกันให้คนอื่น แล้วคนนั้นไม่สามารถผ่อนรถต่อได้

อันนี้ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี แต่ก็ช่างเป็นปัญหาที่น่าหนักใจยิ่งกว่าผ่อนรถไม่ไหวเสียอีก เพราะถึงจะผ่อนไม่ไหวก็ยังมีทางออกให้เลือกมากมายไม่ว่าจะเป็นการขาย การคืน หรือแม้กระทั่งการรีไฟแนนซ์ แต่คนค้ำประกันไม่สามารถทำอะไรได้เลยจากการค้ำ รถก็ไม่ได้ใช้เอง แล้วยังต้องมาเป็นหนี้ก้อนโตอีก แต่จะบ่นไปก็ไม่ใช่เรื่อง เพราะเหตุมันเกิดขึ้นมาแล้ว เพราะฉะนั้นมาดูทางออกในเรื่องนี้กันดีกว่าว่าควรทำอย่างไร

 

อันดับแรกต้องเข้าใจก่อนเลยว่า คดีเกี่ยวกับทรัพย์เป็นคดีแพ่ง ไม่มีโทษจำคุกแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นเมื่อถูกฟ้อง ก็ให้เตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมเอกสารทุกอย่างที่เกี่ยวข้องไปขึ้นศาลได้เลย และโปรดจำไว้ว่า การค้ำประกันไม่ได้เป็นการบังคับ เพราะเกิดความสมัครใจล้วน ๆ เพราะฉะนั้นจะมาโอดครวญหรือร้องไห้ในศาลก็ไม่ช่วยอะไรอย่างแน่นอน วิธีที่ดีที่สุดก็คือใช้สิทธิ์ทางกฎหมายให้ไฟแนนซ์เรียกลูกหนี้ตัวจริงมาคุยกันก่อน ว่าสามารถชำระค่างวดรถส่วนที่เหลือได้หรือไม่ สิทธิ์นี้มีชื่อว่า “สิทธิเกี่ยงการชำระหนี้ของผู้ค้ำประกันตามที่กฎหมายบัญญัติสิทธิ” และคุณจะต้องทำการพิสูจน์ให้ทั้งศาลและเจ้าหนี้เห้นว่า ลูกหนี้ตัวจริงสามารถชำระหนี้ต่อได้จริง ๆ คุณถึงจะรอดพ้นจากเรื่องนี้ได้

 

แต่ถ้าหากไม่สามารถใช้วิธีนี้ได้ ก็ต้องยอมไกล่เกลี่ยประนีประนอมสถานเดียว ซึ่งคุณก็จะต้องเป็นผู้ชำระหนี้แทน เสียทั้งเงิน เวลา และความสัมพันธ์ เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรเป็นอย่างยิ่งที่จะค้ำประกันให้บุคคลอื่น แม้จะสนิทกันแค่ไหนก็ตาม

 

โดนเอาชื่อไปใช้ในการซื้อรถ

และปัญหาสุดท้ายเกี่ยวกับไฟแนนซ์ คือถูกญาติพี่น้อง หรือคนสนิทไปซื้อรถ แล้วไม่สามารถผ่อนต่อได้ บอกได้เลยว่าไม่ได้แตกต่างจากหัวข้อข้างบนมากนัก เพราะถือว่าคุณเป็นเจ้าของรถอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นแนะนำให้ลองคุยกับไฟแนนซ์ดูก่อน ว่าจะขอรีไฟแนนซ์ได้หรือไม่ หากต้องขึ้นศาลก็ต้องทำเรื่องขอประนอมหนี้เพียงด้วยการผ่อนชำระอย่างเดียว จะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ซึ่งนี่ก็เป็นปัญหาที่มักจะเจอกันบ่อยๆ เอาเป็นว่าเมื่อเจอปัญหาเหล่านี้ก็อย่าเพิ่งกังวลไป ควรมีสติให้มากที่สุด แล้วค่อยๆ คิดหาทางแก้ไขต่อไป

Exit mobile version