วิธีอายุวัฒนะ ลดโรคร้ายได้กว่าครึ่ง หากจะถามว่าทำอย่างไรจึงจะอายุยืนนั้น? หลายท่านคงตอบได้เลยแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดว่า ก็ออกกำลังกาย กินอาหารที่เป็นประโยชน์ แล้วก็นอนหลับให้เพียงพอ เรียกว่าตอบตามตำราสุขศึกษา นั่นก็เป็นเพราะว่า เรารู้แล้วไม่ได้นำมาปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ที่ไม่นำมาปฏิบัติแบบ “walk the talk” ก็อาจเป็นเพราะว่ายังไม่เห็นหลักฐานอันใดที่จูงใจให้เกิดแรงบันดาลใจให้ปฏิบัติ
มีงานวิจัยที่ดีมากชิ้นหนึ่งที่ค้นคว้าหาพฤติกรรมที่จะทำให้มนุษย์อายุยืน งานวิจัยนี้ลงตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์สหรัฐอเมริกา (JAMA 2004 , 292:1433-1439) โดยทำการศึกษาที่เรียกว่า “การศึกษาผู้สูงวัยสุขภาพดีในยุโรป (Healthy aging : A longitudinal study in Europe)” ได้ทำการสำรวจผู้สูงอายุวัยตั้งแต่ 70-90 ปีจำนวน 1,500 คน จากประเทศต่างๆในยุโรปถึง 11 ประเทศ ศึกษาติดตามเวลา 10 ปี กว่าจะได้งานวิจัยที่น่าเชื่อถือสักชิ้นหนึ่งยากเย็นแสนเข็ญเพียงใด ผลที่ได้ออกมานั้นก็น่าเชื่อใจ เพราะปัจจัยอิทธิพลที่ทำให้บุคคลมีอายุยืนและมีสุขภาพดีนั้นไม่ยากอย่างที่คิด อยู่ที่การดำเนินชีวิตหรือไลฟ์สไตล์ 4 วิธีด้วยกันไล่จากที่มีประสิทธิภาพสูงสุดคือ
- จำกัดแคลอรี่ (CR) กินผักผลไม้และเนื้อปลาให้มาก ลดเนื้อแดงและผลิตภัณฑ์จากนมวัวให้น้อยที่สุด หรือกินอาหารแนว “เมติเตอร์เรเนียน (Mediterranean diet) ลดอัตราการตายได้ถึง 23 %
- การออกกำลังกาย อย่างน้อย 30 นาทีต่อวันและที่สำคัญคือต้องสม่ำเสมอ พบว่าช่วยลดอัตราตายได้ถึง 37 %
- งดสูบบุหรี่ ลดอัตราการตายได้ถึง 35 %
- ดื่มแอลกอฮอล์แต่พอดี (ประมาณ 4 แก้วไวน์ต่อสัปดาห์) ลดอัตราตายได้ 22 % หรือคุณไม่จำเป็นต้องดื่มแอลกอฮอล์แต่มีสารสกัดจากไวน์ที่ช่วยต้านความชราออกมาให้ใช้แล้ว
คณะนักวิจัยพบว่าหากทำได้ทั้งสี่ข้อนี้คุณจะลดอัตราตายในช่วงมากกว่าสิบปีได้โดยรวมถึง 65% งานวิจัยนี้ดีมากถึงขนาดที่ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดออกมาประกาศว่า นี่คือบรรทัดฐานทางสุขภาพที่สถานพยาบาลทั้งหลายควรแนะนำผู้ป่วย เพราะในด้านของการการต้านความชรา ถือว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่ยืนยันแนวทางชะลอความชราได้ เพราะเป็นแนวทางเพื่อให้คุณมีอายุยืนถึง 120 ปี โดยไม่มีโรคภัยนั่นคือการ “ป้องกัน” ไม่ใช่การที่เราสุขภาพดีอยู่ในปัจจุบัน แล้วอยากทำตัวตามใจอย่างไรก็ได้ จากนั้นก็มาป่วยแล้วก็มารักษา การทำเช่นนี้เสียทั้งสุขภาพกาย สุขภาพใจ เงินทองและที่สำคัญคือสิ้นเปลืองเวลาอันมีค่าของคุณ ที่จะได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกับครอบครัว คนที่คุณรักอย่างมีความสุขที่สุด แทนที่จะได้อุ้มลูกจูงหลานเดินหรือว่าได้เดินเล่นด้วยกันไปในที่อันสวยงามบนโลกใบนี้ คุณกลับต้องนอนป่วยอยู่กับเตียง เงินทองที่หามาไม่ได้มีโอกาสใช้ให้ความสุขกับตัวเอง
ฉะนั้น ยังไม่สายที่จะเปลี่ยนแนวคิดใหม่ในการดำเนินชีวิต
- ข้อแรกคือ ไม่ประมาทในชีวิต ตระหนักถึงความไม่แน่นอนของชีวิต ขอให้เมื่อตื่นมาตอนเช้าคิดเสมอว่าวันนี้คือวันสุดท้ายในชีวิตคุณ แม้จะทำได้ยากแต่อย่างน้อยคุณก็จะทำสิ่งที่ดีพิเศษยิ่งขึ้นแน่นอน ทำให้ทุกๆวันของคุณเป็น “วันที่ดีที่สุดของชีวิต” โดยไม่ต้องรอให้ถึงวันปีใหม่ วันเกิด หรือสารทไทย สารทจีน
- ข้อสองคือ เห็นคุณค่าของการเกิดมาในโลกนี้ โดยการนั่งอยู่ในที่เงียบจริงๆ แล้วถามตัวเองว่า ที่ผ่านมามีสิ่งใดที่คุณได้ทำและภูมิใจที่สุดบ้าง 3 อย่างและสิ่งที่สำคัญ คือสิ่งที่คุณทำทั้งสามอย่างนั้น มีสิ่งใดที่ทำเพื่อผู้อื่นหรือสังคมบ้าง
เมื่อคุณมีแนวคิดของชีวิตเช่นนี้และได้ทำตามแล้วคุณจะรู้สึกว่าการมีชีวิตนี้เป็นของมหัศจรรย์ เป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งพึงจะได้รับจากเบื้องบน คุณจะอยากถนอมของขวัญอันมีค่าชิ้นนี้ให้นานเท่านาน ไม่อยากใช้ชีวิตอย่างหมดเปลืองเหมือนที่แล้วมา ไม่ว่าจะเป็นการเที่ยวกลางคืน ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เพราะชีวิตนี้บอบบางนัก มันคงไม่อาจทนกับพิษร้ายที่คุณใส่เข้ามาได้นานเท่าใดนัก แล้วเมื่อเวลาผ่านไปสักเดือนหนึ่ง คุณลองสังเกตดูได้ว่าชีวิตของคุณจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเป็นบวกมากขึ้น อาจจะไม่ถึงกับกลับหน้ามือเป็นหลังมือแต่จะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน
ไม่ควรนอนโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น คณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งลอนดอน (Unibersity College London) รายงานในวารสารการแพทย์อังกฤษ (British Medical Journal) ว่าในการที่คุณเข้าพักในโรงพยาบาลแต่ละครั้ง คุณมีโอกาสที่จะเกิดอันตรายทางการแพทย์ได้ถึง 10 % คณะนักวิจัยยังพบว่าประมาณครึ่งหนึ่งของอันตรายนี้เกิดจากสาเหตุที่สามารถป้องกันได้ โดยความใส่ใจของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล หนึ่งในสามของอุบัติเหตุนี้ทำให้เกิดความเสียหายต่อร่างกายในระดับปานกลางถึงรุนแรง และใน 19% ของเศษเหล่านี้ทำให้เกิดผลเสียถาวรต่อร่างกาย และทำให้ผู้ป่วยจำนวน 6 % ถึงแก่ความตาย
ข่าวจากหนังสือพิมพ์หัวสีสตาร์ทีบูนของสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 17 มกราคม ปี 2007 ได้เปิดเผยว่าเฉพาะมลรัฐมินเนโซต้าที่เดียวนั้นมีผู้ป่วยต้องเสียชีวิตโดยไม่จำเป็นจากความผิดพลาดของโรงพยาบาลถึง 24 คน ซึ่งมากกว่าปีก่อนหน้านั้นถึง 2 เท่า เกิดจากการลืมสิ่งของขณะผ่าตัดไว้ในช่องท้องคนไข้และให้ยาผิดพลาด
นอกจากนั้นยังมีอีกถึง 156 เหตุการณ์ที่เกิดจากความสะเพร่าของโรงพยาบาล เช่น การเกิดแผลกดทับจากการที่ต้องนอนในโรงพยาบาลนานโดยไม่จำเป็น หรือผลแล็บที่สลับกัน เนื่องจากโรงพยาบาลมีผู้ป่วยมาก บางคนแผลชิ้นเนื้อกลายเป็นมะเร็งไป ต้องถูกนำไปผ่าตัดโดยไม่จำเป็นก็มี คุณควรตรองดูว่ามีเพียงรัฐมินเนโซต้ารัฐเดียวที่ยอมเปิดเผยความผิดพลาดนี้ออกมา แล้วอีก 49 รัฐรวมถึงทั่วโลกด้วยละ โรงพยาบาลเอกชนเขามีวิธีการจัดการกับข่าวประเภทนี้หลายแบบไม่ว่าจะเป็นการติดต่อภายในกับหนังสือพิมพ์หัวสี หรือพยายามเข้ามีส่วนร่วมในองค์กรแพทย์ระดับประเทศ ดังนั้น การที่ไม่มีข่าวความผิดพลาดออกไปไม่ใช่ว่าไม่มี มีอยู่เรื่อยๆและมีมากด้วย จึงทำให้ชาวอเมริกันหลายล้านคนตื่นตัวหันมาให้ความสนใจสุขภาพตัวเองและถ้าเจ็บป่วนก็พบแพทย์ประจำตัวตามคลีนิคซึ่งให้คำแนะนำและให้เวลาใส่ใจได้มากกว่าตามโรงพยาบาลใหญ่ๆ
เมื่อปี 2548 องค์การ NGO สมาคมผู้บริโภคของสหรัฐอเมริกาได้เปิดเผยรายงานว่าผู้ป่วย 1 ใน 20 คนที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลนั้น ติดเชื้อจากโรงพยาบาล (Hospital acquired infection) เมื่อคำนวณจากประชากรอเมริกันแล้ว คิดเป็นจำนวนถึง 2 ล้านคน ซึ่ง 90,000 คนจากจำนวนนี้ต้องเสียชีวิตไปในแต่ละปี ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์และฆาตกรรมรวมกันเสียอีก สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ เรื่องของการติดเชื้อ จากผลการศึกษาเห็นว่า 1 ใน 20 คนนั้นไม่น้อยเลย คุณอาจเป็นหนึ่งในนั้นได้ง่าย โดยเฉพาะในเด็กเล็ก เดี่ยวนี้เห็นเด็กเล็กนอนโรงพยาบาลกันเป็นว่าเล่น ยิ่งใจหาย เด็กบางคนเป็นแค่หวัดธรรมดาไม่ได้มีไข้สูงอะไร พอไปสถานพยาบาลเอกชนก็ถูกเชียร์ให้นอนโรงพยาบาล จากเด็กที่เป็นน้อยๆก็กลับติดเชื้อจากโรงพยาบาลเป็นมากขึ้น ลองสังเกตดูว่า เมื่อนอนโรงพยาบาลแล้วมักจะไม่ได้นอนคืนเดียว ต้องมีหลายคืนขึ้นไป เพราะอย่าลืมว่าห้องที่นอนนั้นก็มีคนที่ป่วย คนเจ็บ คนตายมาแล้ว เดินออกไปนอกห้องก็เจอกับผู้ป่วยอื่นที่มีเชื้ออีก
ยังไงบ้านก็เป็นที่ดีที่สุด ไม่มีบรรยากาศไหนจะสุขเท่าที่บ้าน สถานที่คุ้นเคย อาหารฝีมือคุณแม่ กำลังใจจากคนใกล้ชิดที่ทำให้เด็กไม่หวาดกลัว ต่างกับที่ต้องเจอบุคลากรการแพทย์แปลกหน้าผลัดเปลี่ยนเวรกันมาดูแล บ้านต่างหากคือสถานพยาบาลในอุดมคติที่รักษาคุณได้ทั้งกายและใจ
4 สมุนไพรไทยที่จัดได้ว่าเป็นยาอายุวัฒนะ
เมื่อคุณมีไลฟ์สไตล์ที่ดีขึ้นแล้ว ก็อย่าลืมว่าอาหารการกินก็เป็นส่วนสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่จะทำให้คุณแข็งแรง และไม่ต้องเดินเข้าออกโรงพยาบาล ดังนั้น ใน 1 วันแต่ละมื้ออาหารก็ควรใส่ใจให้มาก ๆ ว่าเราได้รับประทานครบ 5 หมู่หรือยัง หรือไม่เราก็อาจเพิ่มเติมด้วยการตั้งใจว่าจะต้องมีสมุนไพรดี ๆ ในมื้อนั้น ๆ ด้วย เพื่อให้เป็นยาอายุวัฒนะ รับประทานให้เป็นปกติทุกวัน ชีวิตของคุณจะลืมความเจ็บป่วยไปได้อย่างน่าอัศจรรย์
1.ข่อย
“เปลือกของต้นข่อย” มีสรรพคุณในการรักษาโรคผิวหนัง รักษาแผลพุพอง ทั้งยังสามารถนำมาใช้หุงเป็นน้ำมันข่อย รักษาอาการริดสีดวงทวาร รักษารมะนาด แก้ท้องร่วง นอกจากนี้ “เมล็ดข่อย” เมื่อนำมาผสมกับแห้วหมูเปลือกทิ้งถ่อน เปลือกตะโกนา ผลพริกไทยแห้ง และเถาบอระเพ็ด แล้วนำมาดองเหล้าหรือต้มน้ำดื่ม ยังใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยให้เจริญอาหารได้อีกด้วย
2.เห็ดหลินจือ
มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระช่วยลดการเกิดมะเร็ง และป้องกันการเกิดโรคได้ นอกจากนี้เห็ดหลินจือยังมีโปรตีน Lz-8 ซึ่งมีคุณสมบัติปรับภูมิคุ้มกัน ช่วยในการทำงานของเซลล์ให้เป็นปกติได้ ที่สำคัญเห็ดหลินจือมีความปลอดภัยสูงช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพการทำงานของตับ ในผู้ป่วยที่ต้องการทำคีโมติดต่อกันเป็นเวลานาน จนส่งผลทำให้ตับเสื่อมเร็ว ส่วนในด้านผลกระทบที่ทำให้เม็ดเลือดขาวลดลง (เม็ดเลือดขาวแห้ง) นั้น การรับประทานเห็ดหลินจือจะไปช่วยกระตุ้นให้ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดขาวเพิ่มมากขึ้น เห็ดหลินจือถือเป็นยาอายุวัฒนะของชาวจีนมาช้านาน เพราะนอกจากจะช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็งในอวัยวะต่างๆได้แล้ว ยังมีคุณสมบัติในการรักษาโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินโลหิต โรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร โรคเกี่ยวกับตับ และไต ช่วยป้องกันโรคไตวาย ป้องกันโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ อัมพาตรวมไปถึงโรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องอีกด้วย
3.น้ำผึ้ง
“น้ำผึ้ง” มีคุณสมบัติเป็นทั้งอาหารและยา โดยเฉพาะยาลูกกลอนของไทย จะมีน้ำผึ้งผสมอยู่ตามมาตรฐานของสูตรยาแต่ละชนิด น้ำผึ้งที่จัดว่ามีคุณภาพดี ควรเป็นน้ำผึ้งของดอกกานพลู “น้ำผึ้ง” มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ แต่ในทางตรงกันข้ามน้ำผึ้งก็ช่วยยับยั้งอาการท้องเสียได้เช่นกัน คนโบราณจึงถือเอาน้ำผึ้งเป็นยาอายุวัฒนะ แถมน้ำตาลในน้ำผึ้งเป็นยานอนหลับอย่างอ่อนอีกด้วย
4.มะขามป้อม
คืออีกหนึ่งยาอายุวัฒนะที่มีวิตามินซีสูง แถมยังเป็นวิตามินซีที่ไม่สลายตัวเมื่อถูกความร้อนอีกต่างหาก (วิตามินซีทั่วไปตามปกติจะสลายตัวเมื่อถูกความร้อน) มักมีการนำเอามะขามป้อมมาสกัดเป็นยาแก้ไอ ขับเสมหะ แก้โรคกระเพาะ และเป็นยาบำรุง การรับประทานมะขามป้อมสดๆ เป็นยาบำรุงเพิ่มกำลัง ทำได้โดยการนำผลที่บุบพอแตกมาแกะเม็ดออก แช่น้ำผึ้งพอท่วม 3 – 5 วัน รับประทานครั้งละ 1 – 2 ผลเป็นประจำ จะช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย มะขามป้อมมีสรรพคุณแก้ไอและขับเสมหะ เมื่อนำมาผสมกับลูกเกดแล้วไปต้มน้ำดื่มจะยิ่งเพิ่มสรรพคุณบำรุงร่างกายและแก้ไอได้ดียิ่งขึ้น น้ำคั้นจากมะขามป้อมผสมน้ำมะนาวจะช่วยแก้โรคบิดได้อีกด้วย
5.กะเพราแดง
กะเพราแดงที่เรารับประทานกันส่วนใหญ่มีอยู่ 2 ชนิดด้วยกันคือ กะเพราขาว และกะเพราแดง โดยเฉพาะกะเพราแดง ถือเป็นสมุนไพรผักสวนครัวที่มีกลิ่นหอมฉุน รสร้อนแรง ที่เราคุ้นเคยกันดีนี้ อุดมไปด้วยสรรพคุณทางยามากมายหลายชนิด จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นยาอายุวัฒนะก็ว่าได้ อาทิ ช่วยแก้อาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด แน่นท้อง ขับเหงื่อ ลดไข้ แก้ไอ ถ่ายพยาธิ ขับน้ำนมในสตรีหลังคลอด รักษากลาก เกลื้อน เชื้อร าและยังเป็นยาสมุนไพรไล่ยุงได้อีกต่างหาก
ที่มาและการอ้างอิง
ถอดรหัสความชรา ตอน 120 วิธี อายุยืน 120 ปี เล่ม1 เรียบเรียงโดย นพ.กฤษดา ศิรามพุช
รู้ทันโรคบริโภคสมุนไพร ผู้แต่ง อารีรัตน์