วันพฤหัสบดี, 28 พฤศจิกายน 2567

กระดูกคอเสื่อม จะเริ่มเป็นตั้งแต่อายุประมาณ 30 ปี Ep.83

ความเสื่อมเป็นเรื่องที่เกิดได้กับทุกคน เช่นเดียวกับข้อเสื่อมที่เกิดขึ้นได้กับทุกข้อต่อของร่างกายที่ใช้ในการเคลื่อนไหว ในกรณีของกระดูกคอ แม้ว่าคอจะเป็นอวัยวะที่ไม่ได้รับน้ำหนักมาก แต่ว่าเป็นอวัยวะที่มีการเคลื่อนไหวได้เกือบรอบด้าน ทั้งก้ม เงย เอียงคอ หมุนคอ และเป็นอวัยวะที่มีการเคลื่อนไหวในชีวิตประจําวันบ่อย จึงทำให้เกิดการเสื่อมหรือได้รับบาดเจ็บได้ง่าย โดยความเสื่อมจะเริ่มย่างกรายเข้ามาตั้งแต่อายุประมาณ 30 ปี และจะเริ่มเสื่อมมากขึ้นเมื่ออายุ 40-50 ปีขึ้นไป ส่วนใหญ่จะเริ่มที่บริเวณหมอนรองกระดูกคอก่อน

 

 

อาการปวดคอจากกระดูกสันหลังส่วนคอเสื่อม ผู้ป่วยมักมีอาการปวดบริเวณกลางคอโดยเฉพาะเมื่อมีการเคลื่อนไหวคอ และอาจมีอาการปวดร้าวลงมาที่ต้นแขน ดังที่เกริ่นไว้แล้วว่าการเสื่อมของกระดูกคอส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นที่บริเวณหมอนรองกระดูกก่อน เนื่องจากเมื่ออายุมากขึ้นปริมาณน้ำในหมอนรองกระดูกจะค่อยๆ ลดลง ทำให้หมอนรองกระดูกคอแฟบลง ความยืดหยุ่นลดลง ความสามารถในการรองรับแรงกระแทกต่างๆ จึงลดลงตามไปด้วย ร่างกายจึงพยายามเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับส่วนนี้ด้วยการสร้างหินปูนขึ้นมา หรือที่เราเรียกว่า “กระดูกงอก” รวมทั้งเพิ่มการหนาตัวของเนื้อเยื่อ มีผลทำให้ช่องว่างระหว่างกระดูกคอตีบแคบลงด้วย จนมื่อถึงระดับหนึ่งอาจไปเบียดหรือกดทับเส้นประสาท ทำให้เกิดอาการปวดชา ร้าวลงแขน ในรายที่รุนแรงอาจเกิดการกดทับประสาทไขสันหลังทำให้แขนขาอ่อนแรง เดินลำบาก เสี่ยงต่ออัมพฤกษ์อัมพาต นอกจากนี้เมื่อหมอนรองคอเสื่อม อาจทำให้ข้อต่อหลวมขึ้น ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เส้นประสาทถูกกดทับเ มื่อกระดูกคอเกิดการเสื่อมตัวจนกระทั่งกดทับเส้นประสาทหรือประสาทไขสันหลังแล้ว การรักษาด้วยการใช้ยาหรือกายภาพบำบัดมักไม่ได้ผล จึงต้องรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด

 

การรักษากระดูกข้อเข่าเสื่อมแบ่งได้เป็น 2 วิธี ได้แก่

1.การรักษาด้วยวิธีไม่ผ่าตัด ซึ่งได้ผลร้อยละ 80 – 90 การรักษาด้วยวิธีนี้เริ่มต้นตั้งแต่การแนะนำและให้ความรู้แก่ผู้ป่วยในการปรับเปลี่ยนอิริยาบถหรือท่าทางที่ไม่ถูกต้อง เพื่อหลีกเลี่ยงสาเหตุที่อาจเป็นอันตรายต่อกระดูกสันหลังส่วนคอ เช่น ไม่สะบัดคอแรงๆ ไม่อยู่ในท่าที่ต้องก้มหน้าหรือแหงนหน้าเป็นเวลานานๆ ร่วมกับการทำกายภาพบำบัด และการรับประทานยา

 

ในกรณีที่อาการปวดเป็นมากขึ้นถึงแม้จะมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ทำกายภาพบำบัด หรือรับประทานยาแล้วไม่ดีขึ้น แพทย์อาจพิจารณาใช้นวัตกรรมการรักษาแบบใหม่ๆ เข้ามาช่วยให้อาการปวดต่างๆ ดีขึ้น เช่น ปัญหาหมอนรองกระดูกเสื่อม เกิดการอักเสบ หรือปัญหาหมอนรองกระดูกเคลื่อน แพทย์อาจรักษาโดยใช้วิธีการจี้ด้วยคลื่นไฟฟ้า (Radiofreauency) ซึ่งจะช่วยให้การอักเสบของหมอนรองกระดูกดีขึ้น และอาจช่วยให้หมอนรองกระดูกที่เคลื่อนกลับเข้าตำแหน่งโดยไม่จำเป็นต้องผ่าตัดใหญ่ เพราะการจี้เป็นเพียงการเจาะเข้าไปที่บริเวณหมอนรองกระดูกจากทางด้านหน้าเท่านั้น โดยทั่วไปหลังการรักษาด้วยวิธีการจี้ด้วยคลื่นไฟฟ้า แพทย์จะให้ผู้ป่วยอยู่ดูอาการประมาณ 4 ชั่วโมง หากไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้น ผู้ป่วยสามารถกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้เลย ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล ยกเว้นผู้ป่วยบางรายที่ขอให้แพทย์วางยาสลบ อาจต้องนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลต่อ นอกจากนี้ยังมีการรักษาด้วยการฉีดยาสเตียรอยด์เหนือเส้นประสาทที่คอเพื่อลดอาการปวด ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการปวดได้ชั่วคราวประมาณ 3 – 6 เดือน

 

หลังการรักษาด้วยการฉีดสเตียรอยด์เข้าเส้นประสาทและการรักษาด้วยวิธีการจี้ด้วยไฟฟ้า ผู้ป่วยควรเพิ่มความระมัดระวังในช่วง 1-2 วันแรก โดยพยายามลดการใช้งาน เพราะอาจเกิดการอักเสบบริเวณที่ฉีดหรือจี้ได้ หลังจากนั้นจึงสามารถใช้งานได้ปกติ

 

2.การรักษาโดยวิธีผ่าตัด อาการรักษาด้วยวิธีไม่ผ่าตัดไม่ได้ผล แพทย์อาจพิจารณารักษาด้วยการผ่าตัด สำหรับรูปแบบการผ่าตัดขึ้นอยู่กับพยาธิสภาพและดุลยพินิจของแพทย์ผู้ทำการรักษา ซึ่งมีทั้งการผ่าตัดจากด้านหน้าและการผ่าตัดจากด้านหลังของลำคอ กรณีที่ต้องได้รับการผ่าตัด เช่น หมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาทหรือไขสันหลัง กระดูกที่งอกขึ้นมาใหม่บริเวณคอ ถ้ามีขนาดใหญ่อาจจะส่งผลต่อการกลืนเนื่องจากไปเบียดหลอดอาหาร เป็นต้น หลังการผ่าตัดผู้ป่วยจะรู้สึกดีขึ้นทันทีในกรณีที่เป็นการกดทับเส้นประสาทย่อย แต่ถ้าเป็นการกดทับไขสันหลัง อาจจะต้องใช้เวลามากขึ้นคือประมาณ 1 – 12 เดือน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและระยะเวลาในการกดทับ

 

วิธียืดอายุกระดูกคอ

เราสามารถยืดอายุกระดูกคอไม่ให้เสื่อมเร็วได้ด้วยวิธีง่ายๆ ได้แก่ การจัดอิริยาบถท่าทางให้เหมาะสม ไม่ก้มหน้าทำงาน อ่านหนังสือหรือเล่นโทรศัพท์มือถือนานเกินไป ดูแลให้คออยู่ในลักษณะตรงปกติ รวมทั้งไม่แหงนหน้าเป็นเวลานานจนเกินไป เพราะการก้มหน้านานๆ จะทำให้หมอนรองกระดูกต้องแบกรับแรงกดมากขึ้น เช่นเดียวกับการแหงนหน้านานๆ ก็ทำให้กระดูกข้อต่อด้านหลังรับแรงกดมากขึ้น จึงเสื่อมเร็วขึ้น รวมทั้งควรหลีกเลี่ยงการบิดหมุนหรือสะบัดคอ และควรเพิ่มความแข็งแรงให้กับคอด้วย การหมั่นบริหารกล้ามเนื้อรอบคอบคอ เพราะกล้ามเนื้อมีส่วนช่วยในการพยุงกระดูกคอ ช่วยในการรับน้ำหนักที่กดลงกระดูกคอ หากกล้ามเนื้อไม่แข็งแรง กระดูกคอจะต้องแบกรับน้ำหนักที่มากขึ้น จึงเกิดการเสื่อมได้เร็วขึ้น

 

ตัวอย่างวิธีบริหารกล้ามเนื้อคอด้วยตนเอง

– กล้ามเนื้อคอด้านหน้า ยืนหรือนั่งตัวตรง ใช้มือข้างใดข้างหนึ่งวางไว้ที่หน้าผากและออกแรงดันไปทางด้านหลัง พยายามเกร็งศีรษะให้อยู่กับที่ นับ 1-5 แล้วปล่อยมือ ทำซ้ำทั้งหมด 10 ครั้ง

– กล้ามเนื้อคอด้านหลัง ยืนหรือนั่งตัวตรง ใช้มือข้างใดข้างหนึ่งวางไว้ที่ท้ายทอยและออกแรงดันไปทางด้านหน้า พยายามกรุงศรีสระให้อยู่กับที่ นับ 1-5 แล้วปล่อยมือ ทำซ้ำทั้งหมด 10 ครั้ง

– กล้ามเนื้อคอด้านข้าง ยืนหรือนั่งตัวตรง วางมือไว้ข้างศีรษะและออกแรงดันไปทางด้านข้าง พยายามเกร็งศรีษะให้อยู่กับที่ นับ 1-5 แล้วปล่อยมือ ทำตามทั้งหมด 10 ครั้ง ทำสลับทั้งด้านซ้ายและด้านขวา

 

อาการปวดคอส่วนใหญ่ร้อยละ 80 – 90 มีสาเหตุมาจากการเสื่อมและการได้รับบาดเจ็บของหมอนรองกระดูกคอ ซึ่งสามารถรักษาได้ด้วยวิธีกายภาพบำบัดและการรับประทานยา อย่างไรก็ตามในกรณีที่มีการกดทับไขสันหลัง หรือมีอาการปวดมาก รับประทานยาแล้วไม่ดีขึ้นภายใน 2 – 4 สัปดาห์ ควรมาพบแพทย์ และหากอาการปวดคอที่เกิดขึ้นไม่สัมพันธ์กับการเคลื่อนไหว ให้ระวังว่าอาจเกิดจากสาเหตุอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับกระดูกข้อ และกล้ามเนื้อ เช่น โรคหัวใจ ที่อาจมีอาการปวดร้าวมาที่สะบักหรือคอได้เช่นกัน

ที่มาและการอ้างอิง :

กล้ามเนื้อ กระดูกและข้อ เส้นประสาท HealthToday June 2015 รศ.นพ. ทวีชัย เตชะพงศ์วรชัย ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์