ร่างกายของคนเรามีกลิ่นอยู่ 2 ชนิด คือ “กลิ่นหอม” และ “กลิ่นเหม็น” แบ่งออกเป็นกลิ่นตัวและกลิ่นปาก ซึ่งหากมีความเข้มข้นจนถึงเหม็นระคายจมูกแล้วก็ คงเป็นเรื่องที่อึดอัดใจอย่างมากที่จะบอกออกไป โดยเฉพาะในรถโดยสารขนาดเล็ก ในลิฟท์ เป็นต้น
ยิ่งเป็นคนรู้จักยิ่งลำบากใจ จะเตือนก็กระอักกระอ่วนใจ ครั้นจะส่งน้ำหอมให้ก็ดูน่าเกลียด จำต้องกล้ำกลืนฝืนทนยิ้มหน้าชื่นอกตรม เพื่อให้เพื่อนไม่รู้สึกอับอาย นับว่าเป็นกัลยาณมิตรที่น่าสรรเสริญมาก แต่เรื่องกลิ่นมีสิ่งสำคัญที่มากกว่าแค่บุคลิก อยากให้ลองมองนอกกรอบในอีกแง่หนึ่ง เพราะมีการศึกษาพบว่ากลิ่นกายนั้นสามารถบอกอะไรได้มากกว่าที่คิด เพราะมันสามารถบอกโรคได้ตั้งแต่โรคธรรมดาไปจนถึงโรคร้ายแรงอย่างมะเร็งด้วยซ้ำ
โลกนี้มีกลิ่นที่น่ารัญจวนอยู่ 2 กลิ่น คือ “กลิ่นทารกแรกเกิด” กับ “กลิ่นสตรีพรมจรรย์” ในส่วนกลิ่นเด็กอ่อนนั้น ธรรมชาติสร้างไว้ให้สิ่งมีชีวิตจะได้ไม่ทำร้ายลูกตัวเอง ส่วนกินสาวพรหมจรรย์ก็เพื่อเร้าอารมณ์ให้เกิดความเสน่หาทางการสืบพันธุ์
คำว่าเป็นสาวพรหมจรรย์ในปัจจุบัน เชื่อกันว่าคือกลิ่นของฟีโรโมน ซึ่งเป็นกลิ่นหอมรัญจวนใจที่กายเราหลั่งออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหนุ่มๆจะมีกลิ่นนี้ออกมาเข้มข้นแรงมากที่วงแขนหรือรักแร้ คนแต่ก่อนเชื่อว่าคนมีบุญมักไม่มีกลิ่นตัว หรือถ้ามีก็เป็นกลิ่นหอมรัญจวนใจ คงมาจากความเชื่อที่ว่าเทวดามักมีความหอม เลยเชื่อว่าคนที่มีความหอมอ่อนในธรรมชาตินั้นน่าจะเป็นผู้มีบุญไปด้วย ซึ่งก็คงจริง เพราะนอกจากจะมีบุญกับตัวไม่ต้องซื้อเครื่องดับกลิ่นแล้ว ยังมีบุญกับจมูกคนรอบข้างด้วย
กลิ่นเหม็น 10 จุดในร่างกายรางร้ายบอกโรค
1.ปาก
หากมีกลิ่นคล้าย ๆ ไข่เน่าหรือกลิ่นกำมะถัน และหากกลิ่นเหล่านี้หมักหมกในปากมาก ๆ จนคนรอบข้างหันหน้าหนี ให้ระวังปัญหาสุขภาพฟันให้ดี โดยเฉพาะผู้ที่ฟันห่างเพราะจะมีเศษอาหารไปเกาะ แนะนำให้ไปพบหมอฟันอย่างน้อยปีละครั้ง
2.คอ
หากมีกลิ่นอับผสมกับรสปร่าในลำคอ หรือบางทีเป็นกลิ่นคาว ให้ระวังอาการเริ่มต้นของไข้หวัดอักเสบเฉียบพลัน วิธีแก้คือเมื่อแปรงฟันเสร็จแล้วให้แปรงลิ้นทุกครั้ง
3.น้ำลาย
ให้เอานิ้วป้ายหรือแลบลิ้นเลียหลังมือ แล้วดมดูถ้ามีกลิ่นเหม็นผิดปกติกว่าที่เคย อาจบ่งถึงเชื้อที่มีมากในช่องปากหรือโรคปริทันต์
4.กลิ่นตัวโดยรวม
ตัวเหม็นอาจเกิดจากกลิ่นไขมันที่หมักอยู่ตามซอกกายที่มีเชื้อแบคทีเรียอยู่มาก เช่น รักแร้ หรือหากเป็นกลิ่นปากอาจเกิดจากการรับประทานอาหาร โดยเฉพาะอาหารที่มีกำมะถันสูง เช่น กระเทียม หัวหอม ต้นหอม กุยช่าย กะหล่ำปลี เป็นต้น
5.รักแร้
ตรงวงแขนเป็นส่วนฟีโรโมนที่เซ็กซี่ที่สุดของผู้ชายจากที่มีการศึกษามา แต่ก็ใช่ว่าถ้าเหม็นแล้วจะดี ดังนั้นอาจใช้โรลออนหรือสารส้มก้อนน้อยช่วยก็จะเป็นเรื่องที่ดีมาก
6.น้ำมูก
ถ้าน้ำมูกมีกลิ่นอับ คาว เปลี่ยนเป็นสีเขียวจัด แบบนี้เป็นเรื่องที่ไม่ดีเพราะอาจไม่ใช่น้ำมูกเสมอไป แต่เป็นหนองจากโรคไซนัสโดยที่เราไม่รู้ตัว วันดีคืนดีก็อาจจะตัวรุมๆตอนค่ำไม่ทราบสาเหตุ นอกจากนั้นถ้ามีสีเลือดปนออกมาด้วยต้องระวังมะเร็งหลังโพรงมดลูกไว้ด้วย
7.ปัสสาวะ
ถ้ามีกลิ่นฉุน อาจเกิดจากผักบางชนิด เช่น กุยช่าย หน่อไม้ฝรั่ง หรือยาบางประเภท แต่ถ้ามีกลิ่นอับปนเหม็นคาวและสีฝุ่นด้วย ควรต้องระวังอวัยวะสำคัญอย่าง เช่น ไตและทางเดินปัสสาวะว่ามีการติดเชื้อหรือไม่
8.อุจจาระ
ถ้ามีกลิ่นมันแรงกว่าเดิมเป็นกลิ่นเหม็นคาวคล้ายของเน่าหรือคล้ายกุ้งเน่า แสดงว่าในโครงสร้างน่าจะมีเชื้อหมักอยู่มากเกินควร อาจถึงขั้นติดเชื้อในลำไส้ได้
9.เท้า
หากถอดถุงเท้าออกมาแล้วมีกลิ่นหื่นมาก นั่นเกิดจากเชื้อตามซอกนิ้วและเล็บที่ผสมกัน อย่าใส่รองเท้าหุ้มส้น หรือลองเอากระเทียมสับใส่ไว้ในรองเท้า 1 คืน แต่ขอว่าอย่าเอาแป้งโรยรองเท้าเพราะคือแหล่งที่มาชั้นดีของอาการเท้าเหม็น
10.หู
ปกติอาจมีกลิ่นอับได้จากไขที่ขับออกมา เหมือนฟิลม์ขี้ผึ้งบางๆ แต่ถ้ามีกลิ่นเหม็นเน่า แม้จะยังไม่มีน้ำหนองไหลจากหูก็ต้องดูให้ดี เพราะอาจเกิดการติดเชื้อรุนแรงแถวโครงกระดูกมาสตอยด์ หรือติดเชื้อลามขึ้นมาในช่องคอได้ง่ายยามเป็นหวัด โดยเฉพาะในเด็กที่ท่อหูกับคอต่อกันอยู่อย่างสั้นมาก
วิธีการดับกลิ่นง่ายๆ
1.เลี่ยงอาหารที่มีกำมะถันสูง อาหารที่มีกลิ่นแรง เช่น หอม กระเทียม กุยช่าย ทุเรียน และกะหล่ำปลี
2.ดื่มน้ำให้มากๆ อย่าให้ขาดจนปากแห้ง เพราะการขาดน้ำทำให้กลิ่นตัวกลิ่นปากเข้มข้นและรุนแรงขึ้น โดยการให้เอาน้ำ 2 ขวดลิตรตั้งไว้ที่โต๊ะทำงานเลย
3.กินอาหารปากหอมที่ไม่ใช่ลูกอมอย่างเดียว อาหารปากหอม เช่น ใบสะระแหน่หรือมิ้น แล้วก็ยังมีใบฝรั่งที่เอามาเคี้ยวดับกลิ่นปากได้
4.หากจำเป็นต้องกินอาหารที่มีกลิ่นปาก ก็ให้ดื่มน้ำตามให้มากๆ เช่น ดื่มกาแฟแล้วอย่าปล่อยให้คอยแห้ง ไม่เช่นนั้นจะมีกลิ่นกาแฟติดมา หรือแม้แต่การกินหน่อไม้ฝรั่ง ก็ให้ดื่มน้ำตามเยอะๆ เพื่อไม่ให้มีกลิ่นปัสสาวะสูงมากนัก
วิธีการดับกลิ่นต่างๆ ง่ายๆ เหล่านี้ จะช่วยทำให้เรื่องกลิ่นเบาบางลงไปได้ แต่หากใครก็ตามที่มีกลิ่นกายรุนแรง ก็อย่าเพิ่งกังวลใจไป เพราะที่จริงแล้วมันเป็นปัญหาที่ดำรงคงอยู่คู่กับมนุษย์มานานเป็นพันปี ถ้าจะนับเป็นปัญหาก็ไม่เชิง อาจเรียกเป็นเรื่องเฉพาะส่วนตัวบุคคลมากกว่า และยังสามารถแก้ไขได้ เพียงแต่ต้องคอยสังเกตร่างกายของเราให้ดีและค่อย ๆ แก้ไปทีละจุด
source : นายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช