แสงแดดเป็นตัวอันตราย และเป็นศัตรูตัวยงของการมีผิวสุขภาพดี แต่บางครั้งความเชื่อหรือความเข้าใจแบบผิด ๆ ของคุณ เกี่ยวกับการป้องกันแสงแดดก็อาจเป็นอุปสรรคให้การดูแลผิวของคุณไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร ฉะนั้นเรามาดูแลผิวให้ห่างไกลจากแสงแดดอย่างถูกต้องกันดีกว่า
1.ในฤดูหนาวและฤดูฝนถึงจะไม่ร้อนมากแต่กันแดดก็สำคัญนะ
อันตรายจากรังสี UV แทบจะไม่เกี่ยวกับความสว่างหรือความร้อนเลย การที่เราไปอยู่ในที่แดดจ้าหรืออากาศร้อน ผิวของเราจะได้รับผลกระทบอยู่ดี ในวันฟ้าครึ้มซึ่งเป็นผลมาจากรังสี UV ชนิดบีและรังสี UV ชนิดเอ จะยังคงทะลุผ่านลงมาได้
รังสี UVA นี่เองที่จะทะลวงเข้าไปในชั้นหนังแท้ และกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระภายในชั้นผิว ทำร้ายโครงสร้างผิวให้แก่ก่อนวัย
ดังนั้นไม่ว่าฤดูฝน ฤดูหนาว วันฟ้าครึ้ม อากาศเย็น หรือฝนตก ก็ควรต้องทาผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดที่ปกป้องครอบคลุมทั้งรังสี UVA และ UVB เพื่อปกป้องอนุมูลอิสระทุกเช้ากันด้วยนะ
2.แสงแดดทำให้แข็งแรงควรออกไปสัมผัสกับแสงแดดบ้าง
หากคุณต้องการเพียงแค่ให้ผิวให้สัมผัสกับแดดบ้าง เพราะอยู่แต่ในที่ร่มตลอด แสงแดดยามเช้าเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว แสงแดดช่วงสาย 9 โมงจนถึงช่วงเวลา 16.00 น. เป็นอันตราย เพราะมีรังสี UV อยู่อย่างเข้มข้น และจะไปกระตุ้นให้ผิวหนังเกิดปัญหาผิวได้
ดังนั้นแสงแดดในช่วงเช้าก่อน 9 โมง จะไม่ทำให้ผิวแสบระคายเคือง หรือหมองคล้ำขาดความชุ่มชื้นในระยะยาว จนเกิด กระ ฝ้า ผิวหยาบกร้าน มีริ้วรอยก่อนวัย รวมถึงมีมะเร็งผิวหนังได้
3.รับประทานผักผลไม้เพื่อเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระในชั้นผิว
การสัมผัสกับรังสี UVA ความเข้มข้นสูง ช่วงเวลา 09.00 น. ถึง 16.00 น. เพียงวันละไม่กี่นาที ก็สามารถกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระในผิวชั้นลึกได้ และแม้จะอยู่ในอาคารเราก็ยังได้รับรังสี UVA ที่ทะลุผ่านกระจกอาคารจากหลอดไฟในอาคาร จอคอมพิวเตอร์ ยิ่งในเมืองไทยที่มีมลภาวะมากรังสี UV จะกระตุ้นให้ก๊าซในมลภาวะ แตกตัวกลายเป็นอนุมูลอิสระ
ดังนั้น ไม่ว่าจะต้องออกไปสัมผัสแสงแดดภายนอกหรือไม่ ก็ควรทาผลิตภัณฑ์กันแดดเพื่อป้องกันรังสี UV และอนุมูลอิสระในมลภาวะ และควรเพิ่มการรับประทานผักผลไม้ เพื่อเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระในชั้นผิวด้วย
4.เด็กวัยรุ่นแม้ผิวจะแข็งแรงก็ต้องเริ่มทาผลิตภัณฑ์กันแดดด้วยนะ
เด็กวัยรุ่น อาจมีการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวใหม่ได้รวดเร็วกว่าผิวของผู้ใหญ่ ผิวซ่อมแซมตัวเองได้ไว แต่ที่จริงแล้ว ผิวของเด็กวัยรุ่นมีความบอบบาง จะถูกทำร้ายโดยรังสียูวีลึกเข้าไปในชั้นผิวหนัง และกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระ ทำลายโครงสร้างในชั้นผิว ทำให้เกิดผลเสีย
เช่น การเกิดกระในวัยรุ่นในต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังพบวัยรุ่นที่มีประวัติผิวไหม้จากแสงแดด มีแนวโน้มเกิดมะเร็งผิวหนังเพิ่มขึ้นเมื่อเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้น ควรทากันแดดทุกเช้า ตั้งแต่ผิววัยรุ่นของคุณยังไม่มีปัญหาเพื่อป้องกันปัญหาที่จะตามมา
5.ผู้ชายแม้จะมีผิวแข็งแรงกว่าผู้หญิงก็ยังควรต้องใช้ผลิตภัณฑ์กันแดด
ผู้ชายเป็นเพศที่มีกล้ามเนื้อมากกว่า และมีชั้นผิวหนังหนากว่าผู้หญิง แต่ไม่ได้แปลว่าผิวของผู้ชายจะทนทานต่อรังสี UV ได้มากกว่าผิวของผู้หญิง รังสี UV ทำลายผิวผู้ชายได้ในชั้นผิวลึกไม่ต่างกับผู้หญิงเลย ดังนั้นหากคุณอยากเป็นผู้ชายที่มีสุขภาพผิวดี ควรเริ่มใช้โลชั่นกันแดดเป็นประจำทุกเช้า
6.แม้จะเป็นคนผิวคล้ำก็จำเป็นต้องทากันแดดเหมือนคนผิวขาว
คนที่ผิวคล้ำ จะมีเม็ดสีเมลานินมากกว่าคนที่ผิวขาว จึงช่วยซับกรองรังสี UV ที่ตกกระทบผิวชั้นบนได้บางส่วน แต่ผลกระทบต่อผิวไม่ได้ช้ากว่า อย่างไรก็ตามรังสี UVA และอนุมูลอิสระส่วนใหญ่ ก็ยังทำร้ายผิวในชั้นลึกได้อยู่ดี
ดังนั้นไม่ว่าคุณจะผิวคล้ำหรือผิวขาวก็ควรทากันแดดที่มีค่าการปกปกป้องสูง ครอบคลุมทั้งรังสี UVA และ UVB และอนุมูลอิสระไว้เป็นดีที่สุด
7.แค่เพียงใส่เสื้อแขนยาว สวมหมวก กางร่ม ก็ป้องกันรังสี UV ได้ไม่เพียงพอ
การสวมเสื้อผ้าที่ปิดมิดชิด อาจได้รับอันตรายจากรังสี UV น้อยก็จริง แต่รังสีจะทะลุผ่านหมวกและเสื้อผ้าที่มีเส้นใยบางเบา หรือถักทอไม่แน่นหนา
การกางร่มหรือหลบอยู่ใต้ชายคา ป้องกันได้เพียงบางส่วน เพราะรังสีส่วนใหญ่จะตกกระทบพื้นและสะท้อนขึ้นมาถูกผิวได้อยู่ดี
ดังนั้นหากต้องการมีผิวสุขภาพดีทั่วเรือนร่าง ต้องทาผลิตภัณฑ์กันแดด ทั้งบริเวณที่ต้องสัมผัสแสงแดดโดยตรง เช่น ผิวหน้า ลำคอ หลังมือ และส่วนที่ถูกปกคลุมด้วยเสื้อผ้า เช่น ลำตัว แขน ขา ด้วย
8.ควรเลือกผลิตภัณฑ์กันแดดที่ระบุครบทั้ง 3 ค่า เพื่อป้องกันอนุมูลอิสระจากรังสี UV
ค่า SPF บอกเพียงแค่ระดับการปกป้องรังสี UV ชนิดบี ที่ทำให้ผิวไหม้จากแดดแผดเผาเท่านั้น แต่ในแสงแดดยังมีรังสี UV ชนิดเอ ในปริมาณมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์
ดังนั้นเมื่อคุณทาผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่า SPF สูง ๆ แล้วไม่ไหม้เกรียม อย่าคิดว่าปลอดภัย เพราะคุณยังถูกรังสี UVA จ่อทะลุถึงชั้นหนังแท้ได้ และกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระ ทำร้ายผิวให้หมองคล้ำ แก่ก่อนวัยและเกิดมะเร็งผิวหนัง
ดังนั้น ให้มองหาผลิตภัณฑ์กันแดดที่ระบุครบทั้ง 3 ค่าคือ SPF ที่ป้องกันรังสี UV ค่า PA ที่ป้องกันรังสี UVA และค่า SPF เพื่อป้องกันอนุมูลอิสระจากรังสี UV ด้วย
9.หากต้องออกแดดเป็นเวลานาน ควรทากันแดดซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง
วิธีการทากันแดดให้ได้ประสิทธิภาพการป้องกันสูงสุด คือทากันแดดเป็นขั้นตอนสุดท้ายภายหลังการทาครีมบำรุง ก่อนขั้นตอนการแต่งหน้าและทาก่อนออกไปสัมผัสแสงแดดประมาณ 20 นาที
ผู้ที่มีเหงื่อมาก ออกกำลังกาย หรือไปว่ายน้ำ ควรเลือกกันแดดชนิดน้ำ และเมื่อต้องออกไปสัมผัสแสงแดดเป็นเวลานาน ควรทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง หรือภายหลังการซับเหงื่อ หรือหลังจากการเช็ดหน้าเช็ดตัวก็ควรทาซ้ำด้วย
ที่มาและการอ้างอิง
นิตยสารขวัญเรือน 941