ชายวัยกลางคนผู้มีลักษณะสกปรก หน้าตาซีดเซียว บ่งบอกถึงอาการกรำโรคมาอย่างหนัก รูปปากของแกบิดเบี้ยวน่ากลัว เนื้อตัวสั่นเทากระตุกเป็นจังหวะอยู่ตลอดเวลา นิ้วมือหงิกงอ นิ้วเท้างุ้มเกร็ง แขนขาสั่นกระดิกไปมาไม่สามารถบังคับได้ ลักษณะโดยรวมแล้วคล้ายคนเป็นโรคสันนิบาต ลักษณะของแกดูพิกลพิการน่าเวทนายิ่งนัก
ชื่อของแกคือ นายไต้ไหล แซ่กำ เป็นคนจีนกวางตุ้ง เดิมมีอาชีพเป็นช่างกลึงและเป็นเจ้าของโรงกลึงแห่งหนึ่ง จัดว่าเป็นผู้ที่มีฐานะพอสมควรในช่วงระหว่างปี 2490 ตราบกระทั่งเมื่อโรคอันทุกข์ทรมานนี้ได้มาเบียดเบียนแก ซึ่งเมื่อประมาณปี 2493 ชีวิตที่เคยเป็นอยู่สุขสบายจึงค่อยๆ ถดถอยไป เนื่องจากแกไม่สามารถทำงานได้ เงินทองที่เก็บเอาไว้ก็หมดลงจากการตระเวนรักษาตัว
นายไต้ไหลเคยพยายามอย่างหนักที่จะรักษาโรคดังกล่าวให้หาย เคยถึงขนาดเดินทางไปรักษาที่ตัวเมืองจีนและรักษาอยู่ที่นั่นถึง 3 ปี แต่อาการของโรคก็ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น ซ้ำร้ายยังส่ออาการหนักกว่าเดิม ในที่สุดก็ต้องกลับมายังเมืองไทยแล้วได้บวชเป็นพระอยู่ 2 ปี โดยบนบานให้หายจากโรคนี้ แต่ก็ไม่หาย ในที่สุดจึงต้องสึก และเที่ยวหาพระสงฆ์องค์เจ้ารวมถึงเทพเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่เป็นพิษที่พึ่ง แต่ก็ไม่อาจจะหายจากโรคนี้ได้ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2499 ถึงบ้านมาพบกับ ท่านองสรภาณมธุรส (บ๋าวเอิง) เจ้าอาวาสวัดสมณานัมบริหาร (วัดญวนสะพานขาว) จากการแนะนำของแม่ค้าขายน้ำอบไทยคนหนึ่ง
ท่านบ๋าวเอิงผู้ซึ่งเป็นเอตทัคคะ ในเรื่องจิตวิญญาณท่านหนึ่งของเมืองไทย ครั้นเมื่อได้พบกับสภาพอาการป่วยของนายไต้ไหล ท่านจึงตั้งจิตอธิษฐานในใจว่า ถ้าหากชาติก่อนๆ เคยอุปถัมภ์กันมาหรือหากเป็นบุญวาสนาของเขาที่จะมีโอกาสได้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ ก็ขอให้เกิดพลังอันศักดิ์สิทธิ์ สามารถทำการรักษาให้หายจากโรคได้สำเร็จ เมื่อตั้งจิตอธิษฐานแล้วจึงได้เริ่มทำตามรักษา ท่านบ๋าวเอิงได้ทำการตั้งจิตภาวนาร่ายคาถา พร้อมกับเป่าลงไปที่ศีรษะของนายไต้ไหล และบัดนั้นเอง สิ่งผิดปกติบางอย่างก็เกิดขึ้น
ร่างกายของนายไต้ไหลเริ่มมีอาการสั่นสะท้าน หลังจากได้รับการเป่าศีรษะ อาการสั่นสะท้านแรงขึ้นทุกๆ ทีจึงทำให้ท่านบ๋าวเอิงทราบได้ทันทีว่า นายไต้ไหลนั้นไม่ได้ป่วยเป็นโรคธรรมดาเสียแล้ว แต่เขากำลังถูกผลกรรมที่เคยทำกับวิญญาณร้ายและสร้างรอยอาฆาตแก่วิญญาณนั้นทำให้วิญญาณพยาบาทตามมาแก้แค้น ให้ได้รับผลกรรมที่เคยทำไว้
เมื่อได้ทราบดังนั้น ท่านบ๋าวเอิงจึงได้เพิ่มพลังจิตภาวนาคาถาบังคับและเป่าลงบนศรีษะของนายไต้ไหลให้แรงยิ่งขึ้น เพื่อบังคับให้วิญญาณที่สิงอยู่ในร่างกายของนายไต้ไหลแสดงอาการและพูดออกมา ซึ่งในที่สุดวิญญาณที่เข้ามาสิงสู่ในร่างกายของนายไต้ไหลจึงได้เอ่ยปากสารภาพถึงเหตุที่มาทำร้ายในไต้ไหล จนถึงขั้นล้มป่วยอย่างทุกข์ทรมาณในครั้งนี้ว่า
“ผมเป็นชาวอินเดียชื่ออภิราม พี่ชายผมเป็นคนไทยชื่ออภินันท์ เราทั้งคู่ถูกลูกระเบิดตายที่พาหุรัด การตายในครั้งนั้นเป็นการตายที่เรียกว่าตายโหง จึงไม่มีใครทำบุญทำทานให้เลย และเมื่อครั้งมีชีวิตอยู่ก็ไม่เคยทำบุญสร้างกุศลไว้ วิญญาณจึงล่องลอยไปตามยถากรรม และนึกเสียดายสิ่งที่ไม่ได้ทำความดีไว้ จึงอยากเกิดเป็นมนุษย์อีกเพื่อจะได้ทำบุญสร้างกุศลกับเขาบ้าง”
“ครั้นมีโอกาสจะได้เกิด ก็มาเจอพ่อแม่ในนามที่ใจร้าย ฆ่าผมและพี่ชายทั้ง 2 คนไม่ให้เกิด โดยพี่ชายผมได้ถูกแม่ในนามใช้หมอผู้หญิงทำการรีดออกที่คลินิกส่วนตัวแห่งหนึ่ง ต่อมาเมื่อแม่ในนามตั้งท้องผมอีกครั้งหนึ่ง ก็ได้ทำการรีดเอาร่างกายผมออกด้วยตัวเอง และยังได้นำร่างของผมเทลงในส้วม ผมเห็นการกระทำในครั้งนั้นจึงเกิดความโกรธ และกลายเป็นแรงอาฆาตตามมา ผมจึงต้องการแก้แค้นให้รู้รสชาติของกรรมที่ร่วมกันก่อไว้เสียบ้าง ผมจึงไปชวนพี่ชายมาจัดการกับพ่อแม่ในนามที่เคยร่วมกันฆ่าเราไม่ได้เกิด เพื่อเป็นการแก้แค้น พร้อมกับชักชวนดวงวิญญาณอื่นๆ ซึ่งเป็นวิญญาณของสัตว์ให้มาเป็นพวก และเข้าสิงในตำแหน่งที่สำคัญทุกส่วนของร่างกาย ทำให้ร่างกายพิกลพิการอย่างที่เห็นอยู่นี้”
วิญญาณอาฆาตที่เข้าสิงสู่ในร่างกายของนายไต้ไหล ได้บอกเล่าให้ท่านบ๋าวเอิงฟัง พร้อมกับแสดงความสำนึกในความผิดที่ได้กระทำลงไปและรับปากว่าจะเลิกจองเวรกรรมนายไต้ไหล อีกทั้งยังได้ขอความกรุณาต่อท่านบ๋าวเอิงให้ช่วยส่งดวงวิญญาณไปผุดไปเกิด พร้อมทั้งจัดหาเสื้อผ้าเงินทองทำบุญอุทิศไปให้ด้วย ซึ่งท่านบ๋าวเอิงก็ได้รับคำกับดวงวิญญาณนั้นและขอให้ออกจากร่างของนายไต้ไหลในทันที
ด้วยความเกรงกลัวต่ออำนาจบารมีของท่านบ๋าวเอิง หลังจากที่ได้เล่าถึงสาเหตุแห่งความอาฆาตแค้นจากการกระทำดังกล่าวสำเร็จ วิญญาณพยาบาทที่คอยติดตามจองเวรนายไต้ไหลจึงได้ออกจากร่างของเขา และในทันทีที่วิญญาณร้ายนั้นออกจากไป ร่างของนายไต้ไหลก็เป็นลมล้มฟุบหมดสติลง
ท่านบ๋าวเอิงได้ช่วยการแก้ไขให้ฟื้นขึ้น และได้นอนพักผ่อนอยู่ที่กุฏิ จนกระทั่งถึงเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ท่านจึงได้ถูกนายใต้ไหลเพื่อสอบถามเรื่องราวต่างๆ ที่เคยผ่านมาโดยอธิบายให้ฟังว่า “โรคที่เขากำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ เกิดจากวิญญาณพยาบาทที่เคยถูกเขาประกอบกรรมทำเขียนไว้อย่างร้ายแรงตามมาจองเวรจองกรรม ด้านนายไต้ไหล เมื่อถูกท่านบ๋าวเอิงสอบถามดังนั้น ก็ถึงกับสีหน้าสลด สายตาทอดมองออกไปเบื้องหน้าเสมือนกำลังจะระลึกความทรงจำเมื่อครั้งอดีตที่ผ่านมา กระทั่งเมื่อครู่ใหญ่ผ่านไป เขาจึงได้เอ่ยปากเล่าเรื่องอนาคตอดสูที่ใดกระทำไว้ในอดีต
นับตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก นายไต้ไหลผู้นี้ได้เติบโตมาท่ามกลางความเลี้ยงดูของอาผู้หญิงของเขา เนื่องจากผู้หญิงผู้นี้มีลูกสาว 2 คน ไม่มีลูกผู้ชาย อาหญิงจึงได้ขอนายไต้ไหลมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม โดยให้เรียกอาหญิงว่าแม่มาโดยตลอด ครั้นเมื่อโตขึ้น ลูกสาวคนโตของอาได้แต่งงานแยกเรือนไป ส่วนลูกสาวคนเล็กยังไม่ได้แต่งงานยังคงอาศัยอยู่กับพ่อแม่แม้ว่าขณะนั้นจะมีอายุได้ 25 ปีแล้วก็ตาม
วันหนึ่งนายไต้ไหลบังเอิญมาพบลูกสาวคนเล็กของอากำลังนั่งร้องไห้อยู่ เขาจึงได้สอบถามด้วยความเป็นห่วง จึงได้รู้ว่าน้องสาวคนนี้แอบได้เสียกับผู้ชายคนหนึ่ง แต่ถูกฝ่ายชายปฏิเสธความรับผิดชอบ ไม่ยอมรับเลี้ยงดู จึงเกิดความเศร้าโศกเสียใจและอับอายอย่างมากถึงขนาดคิดจะฆ่าตัวตาย นายไต้ไหลจึงช่วยพูดจาปลอบใจให้คลายความโศกเศร้าลงด้วยความเห็นอกเห็นใจเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากเกิดเหตุการณ์ในครั้งนั้น จึงเป็นเหตุให้ทั้งสองใกล้ชิดสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น และในระยะหลังๆ น้องสาวลูกของอาผู้นี้ได้ชักชวนเขาไปหาหมอที่รวย โดยบอกว่าหมอรวยผู้นี้เป็นหมอที่เก่งทางเมตตา ซึ่งจะทำให้เขาค้าขายมีกำไรมากขึ้น นายไต้ไหลก็เชื่อน้องสาวและได้ถูกพาไปหาหมอกินน้ำมนต์และลงคาถาอาคมอยู่หลายครั้ง จากนั้นเขาได้กลายเป็นผู้ที่เชื่อฟังน้องสาวคนนี้ทุกอย่าง
คืนหนึ่งในช่วงระหว่างเกิดสงคราม ได้มีสัญญาณเตือนภัยทางอากาศบอกให้รู้ว่าเครื่องบินกำลังจะมาทิ้งระเบิด นายไต้ไหลจึงรีบไปบอกน้องสาวให้หลบภัย เมื่อน้องสาวตกใจตื่นขึ้นจึงร้องตะโกนสุดเสียง แล้วกระโดดเข้ามากอดนายไต้ไหล พลางเคล้าเคลียไปมาอย่างมีความหมายแม้ว่าเครื่องบินจะผ่านไปแล้ว ซึ่งการกระทำเช่นนี้นี่เอง ที่ทำให้นายไต้ไหลไม่อาจจะฝืนใจอดทนอยู่ได้ต่อไป เมื่อฝ่ายหญิงเปิดโอกาสไม่สงวนท่าทีของความต้องการ ฝ่ายชายจึงรวมตัว ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ลืมความรู้สึกผิดชอบชั่วดี แม้แต่ความถูกต้องมีศีลธรรมและความกตัญญู ทั้งคู่จึงได้ร่วมกันกระทำเรื่องเสื่อมเสียโดยไม่อาจยับยั้งชั่งใจได้
หลังจากที่ทั้งสองได้แอบได้เสียกันในครั้งแรก ครั้งที่ 2 ที่ 3 ได้อีกหลายๆ ครั้งก็ติดตามมา จนกระทั่งน้องสาวลูกของอาตั้งท้องขึ้นด้วยความกลัวว่าผู้ใหญ่จะรู้เรื่อง ทั้งคู่จึงได้ปรึกษากันแรกในที่สุดก็ได้ไปทำการรีดลูกออกที่คลินิกเถื่อนแห่งหนึ่ง แต่นั่นไม่ใช่เพียงครั้งแรกที่ได้สร้างบาป หลังจากครั้งแรกผ่านไปไม่นานเท่าไร น้องสาวของนายไต้ไหลก็ตั้งท้องอีก แต่คราวนี้เธอตัดสินใจที่จะรีดเด็กออกเอง โดยใช้วิธีการของหมอเถื่อนที่เคยทำให้ในครั้งแรก และเมื่อเด็กแท้งออกมา เธอก็นำเอาไปทิ้งลงในส้วมโดยไม่มีสำนึกละอายต่อบาปเลยแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นก็คือบาปกรรมที่คนทั้งสองได้ร่วมการกระทำมาเมื่อครั้งอดีตที่ผ่านมา
นี่คือเรื่องราวของคนไข้รายหนึ่ง ที่ท่านบ๋าวเอิงและเป็นผู้ทำการรักษา นายไต้ไหลได้รับการรักษาจากท่านอยู่ถึง 15 วัน จึงหายเป็นปกติและสามารถกลับไปประกอบอาชีพได้ดังเดิม และหลังจากนั้นเขาก็หมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้วิญญาณของลูกชายทั้งสอง ซึ่งได้ถูกเขาและน้องสาวร่วมกันก่อกรรมทำเข็ญให้อย่างไร้ซึ่งความปราณี
ที่มาและการอ้างอิง
วาระสุดท้ายของกรรมชั่ว – นที ลานโพธิ์ เรียบเรียง