ในบางครั้งคนบางคนก็ไม่เคยเชื่อในเรื่องที่ตัวเองไม่เคยเจอ จนกระทั่งต้องมาเสียใจในวันที่สายไปแล้วนั่นแหละ เรื่องนี้เกิดขึ้นกับเพื่อนผมคนหนึ่งที่อยู่ในจังหวัดชลบุรี เพื่อนผมคนนี้ชื่อ “หนุ่ม”
หนุ่มเป็นลูกคนมีฐานะ พ่อของเขาเป็นเจ้าของโรงงานผลิตขนม ซึ่งมียอดขายที่ดีมีออเดอร์จากต่างประเทศมากมาย แม่กลองเขาเป็นข้าราชการขั้นสูงซึ่งกำลังสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่ก็เป็นสัจธรรมของโลก เมื่อได้มาซึ่งสิ่งหนึ่งก็ย่อมต้องเสียอีกสิ่งหนึ่ง พ่อกับแม่ของหนุ่มสำเร็จในหน้าที่การงาน มีเงินเยอะแยะมาให้ลูกใช้จ่าย แต่นั่นต้องแลกมากับการทำงานอย่างหนักจนไม่มีเวลาเวลาอบรมสั่งสอนลูกชาย หนุ่มจึงกลายเป็นเหมือนคนรวยทั่วไป ที่ร่ำรวยแต่ลึกๆ แล้วโหยหาความรัก เมื่อพ่อแม่ของเขาไม่มีเวลามอบให้หนุ่มจึงทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่มาอยู่กับกลุ่มเพื่อน
ผมกับหนุ่มสนิทกันเมื่อสมัยเรียนมัธยม เราเป็นเพื่อนรักกันไปไหนมาไหนด้วยกัน ที่จริงผมก็เป็นคนดี และชีวิตวัยรุ่นของเขาคงไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรมากนักถ้าเขาไม่ได้รู้จักกับ “พี่เอ้”
พี่เอ้ก็ไม่ต่างจากหนุ่ม เขาก็เป็นลูกเศรษฐี พ่อแม่มีเงินให้ใช้ไม่ขาดมือ แต่ก็ไม่เคยมีเวลาให้ พี่เอ้ก็หาทางออกด้วยการคบเพื่อน ต่างกันตรงที่ว่าเพื่อนของพี่เอ้เป็นแก๊งเด็กแว๊น พี่เอ้เข้าแก๊งเด็กแว๊นมานานหลายปีแล้วแข่งรถมานับไม่ถ้วน โดนตำรวจไล่จับมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง มอเตอร์ไซค์ก็โดนยึดมาแล้วไม่รู้กี่คัน แต่เขาก็ไม่เคยหวั่นไหว เมื่อมอเตอร์ไซค์คันเก่าโดนยึดเขาก็ไปซื้อคันใหม่มาแทน แถมซื้อให้เพื่อนด้วยอีกต่างหาก จากนั้นก็ไปแว๊นซิ่งกันตามเดิม
ทุกคืนแก๊งแว๊นของพี่เอ้ก็จะหาถนนจากสายที่เหมาะกับการแข่งขัน แล้วก็ท้าพนันกับแก๊งค์อื่นเพื่อประลองความเร็วกัน เดิมพันก็มีตั้งแต่เงิน รถ ไปจนถึงผู้หญิง และบางครั้งก็เลยเถิดไปถึงยาเสพติดชนิดต่างๆ หนุ่มกับพี่เอ้เจอกันก็เพราะแฟนของพี่เอ้กับของพี่หนุ่มเป็นเพื่อนกัน และหนุ่มก็ดูเหมือนจะหลงในวิถีชีวิตของพี่เอ้ เขาซื้อมอเตอร์ไซค์และก็เริ่มแต่งรถ ไม่นานนมก็ได้ชื่อว่าเป็นเด็กแว๊นอย่างเต็มตัว
“เฮ้ยนิว วันนี้มีแข่งเองจะไปกับข้าหรือเปล่า” เสียงของหนุ่มเอยถามผมในวันหนึ่ง ซึ่งเป็นวันที่ผมกำลังเซ็งอย่างมาก
“แข่งที่ไหนวะ” ผมถามด้วยอารมณ์เซงส่วนตัวยังไม่หาย
“ทางใต้มอเตอร์เวย์ว่ะ ไปเปล่า” หนุ่มตอบกลับมา ผมนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งสองจิตสองใจ แต่วันนี้พ่อกับแม่ผมก็ไม่อยู่บ้าน ดังนั้นถ้าผมออกไปท่านก็ไม่มีทางรู้
“เอาวะ ไปก็ไป ข้าซ้อนท้ายเอ็งไปนะ” ผมบอก เพราะผมไม่มีมอเตอร์ไซค์ ทั้งที่ผมขอพ่อกับแม่แล้วแต่ท่านทั้งสองไม่อยากให้ผมขี่มอเตอร์ไซค์ ดังนั้นผมจึงต้องอาศัยมอเตอร์ไซค์ของหนุ่มหรือไม่ก็รถยนต์หากว่าจะไปไหน แต่หนุ่มก็ส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่ได้โว้ย ท้ายรถข้ามีไว้ให้น้องจุ๊บแจงซ้อนเพียงคนเดียวเท่านั้น เอ็งหมดสิทธิ์”
“อ้าว แล้วข้าจะไปยังไง งั้นไม่ไปก็ได้วะ” ผมเอ่ยอย่างเคืองๆ พรางด่าเพื่อนในใจ ไอ้นี่ รู้ว่ากูไม่มีมอเตอร์ไซค์ยังจะชวนอีก
“เฮ้ย ไปได้สิวะ ทำไมจะไปไม่ได้ เอารถข้าอีกคันไปละกัน ขี่เองนะเว้ย” หนุ่มบอกอย่างคำขำๆ พลางโยนกุญแจรถอีกคันนึงให้ผม
“เอออย่างนี้ค่อยยังชั่วหน่อย” ผมว่า
นับเป็นครั้งแรกที่คนอย่างผมได้เข้าไปสัมผัสเด็กแบบใกล้ชิด จึงทำให้รู้ว่าพวกเขาก็ไม่ต่างจากเราเท่าไหร่หรอก พวกเขาต่างก็อยากได้ อยากดี มีชื่อเสียง อยากเป็นที่ยอมรับของสังคม เพียงแต่สังคมของพวกเขาแตกต่างจากสังคมของคนทั่วไป สังคมของเด็กแว๊นคนที่จะได้รับการยอมรับนั่นก็คือ คนที่พิสูจน์ได้ว่าตัวเองเจ๋งพอ เร็วพอ และแรงพอ ดังนั้นหากมีเงินตกถึงมนุษย์เด็กแว๊น สิ่งที่พวกเขาจะเอาไปใช้ก็คือ แต่งรถหรือไม่ก็ยาเสพติด
ผมไปถึงที่นัดพบพร้อมๆ กับหนุ่มซึ่งที่นั่นพี่เอ้ได้รออยู่แล้ว แก๊งของพี่เอ้มีเด็กแว๊นประมาณ 30 คน แต่ละคนล้วนมีมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง เมื่อรวมเหล่าสก๊อยแล้วก็มีจำนวนราวๆ 50 คน ในขณะที่อีกแก๊งหนึ่งซึ่งเป็นคู่แข่งที่นัดมาแข่งกันวันนี้ก็มีอยู่ราวราวๆ 40 กว่าคน แต่พวกของอีกแก๊งหนึ่งซึ่งผมมารู้ภายหลังว่าชื่อ “แก๊งเสือดิน” แก๊งเสือดินนี้มีหัวหน้าชื่อ “โจ๊ก” ซึ่งจะใช้คำว่าเด็กแว้นกับเขาก็คงไม่ถนัดปากนัก เพราะโจ๊กนี้ค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่แล้ว และดูท่าทางจะมีเงินหนามากกว่าพี่เอ้เสียอีก เพราะนอกจากจะมีมอเตอร์ไซค์เป็นพาหนะแล้ว ยังมีอีกหลายคนขับรถยนต์เป็นพาหนะด้วย
“ไอ้โจ๊ก แม่งกวนตีนว่ะ มึงนึกว่ามึงเก่งสักแค่ไหนเชียว” เสียของหนุ่มสบถออกมาอย่างโกรธแค้น นั่นทำเอาผมหันกลับไปมองอย่างสนใจ เพราะทันทีที่หนุ่มพูดจบเสียงพี่เอกก็หันมาสนับสนุน
“ใช่ มันนึกว่ามันวิเศษ ก็แค่เจ้าของร้านอะไหล่ยนต์กับเจ้าของอู่ เทียบกับพ่อกูยังไม่ได้เลย ถุย” เอ้บอกพร้อมถ่มน้ำลาย ตอนนั้นเองที่ผมเห็นดวงตาอำมหิตจากแววตาของพี่เอ้
“คราวที่แล้วมันขี้โกงเรา ทำให้พวกเราแพ้แล้วก็ยึดรถพวกเราไปหมด แต่คราวนี้แหละกูจะเอาคืนให้สาสมมันจะต้องแพ้เราอย่างราบคาบ” พี่เอ้บอกพร้อมกับกระซิบกระซาบแผนการให้พวกเราฟัง ซึ่งผมฟังแบบ อึ้ง ทึ่ง งง ไม่คิดว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้ด้วย ผมจึงพยายามที่จะสงบปากสงบคำไม่อยากเอ่ยวาจาให้ไปเตะหูทะลุถึงเท้าใคร เพราะมันอาจทำให้ผมต้องอยู่ไม่สุขไปอีกนาน แต่การที่ผมนิ่งเงียบแบบนี้ก็กลับไม่ได้สร้างความสงบสุขอย่างที่ผมคาดคิดเลย เพราะแผนการที่ว่านั้นผมต้องรู้เห็นอย่างช่วยไม่ได้ เพราะพี่เอ้สั่งให้ผมซ้อนรถไปกับหนุ่ม
ผมหนุ่มและพจน์ลูกน้องอีกคนของพี่เอ้ ค่อยๆ ปลีกตัวขับมอเตอร์ไซค์ลัดเลี้ยวออกมาจากที่ตรงนั้น เพื่อจะอ้อมไปดักหน้าระหว่างเส้นทางแข่งตรงจุดนัดพบที่พี่เอ้ได้จัดเตรียมการเอาไว้
“เฮ้ยไอ้หนุ่ม มันจะดีหรือวะ มันอันตรายนะเว้ย” ผมจำได้ดีถึงเสียงตัวเองว่ามันช่างดูตื่นตระหนกนัก เมื่อถามออกไป
“เอ็งอย่าปอดได้ไหมวะ เรื่องอย่างนี้มันเรื่องของศักดิ์ศรี” หนุ่มหันมาบอกผมอย่างมุ่งมั่น ทำเอาผมนิ่งเงียบไปตลอดทาง จนกระทั่งถึงที่นัดหมาย ทั้งพจน์และหนุ่มต่างเข้าประจำที่ตามที่พี่เอ้นัดหมายไว้ ในขณะที่ผมออกอาการกระสับกระส่าย ก็โดนไล่ให้มาเฝ้ารถมอเตอร์ไซค์
“ไม่เป็นไรหรอกน่า อย่างมากก็แค่รถล้มเท่านั้น” หนุ่มหันมายิ้มกับผม ในขณะที่ผมไม่แน่ใจเอาเสียเลย
และไม่นาน วินาทีที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง เสียงบิดมอเตอร์ไซค์แข่งกันระหว่างหัวหน้าแก๊งทั้งสองก็เริ่มขึ้น พี่เอ้เป็นฝ่ายขับนำมาในขณะที่พี่โจ๊กก็ขับเคี่ยวตามมาอย่างไม่ลดละ เสียงมอเตอร์ไซค์ทั้ง 2 คัน ดังก้องอย่างน่าประหลาด ท่ามกลางความเงียบสงัดของค่ำคืน ไม่มีรถคันอื่นวิ่งมาทำให้เราต้องเสียแผน มีเพียงรถของพี่เอ้กับพี่โจ๊กซึ่งตามแผนของพี่เอ้
เมื่อทั้งสองมาถึง ทั้งพจน์และหนุ่มจะต้องคือเชือกขึ้นทันที ซึ่งเชือกที่ดึงรั้งไว้กับเสาไฟทั้งสองฟากถนนจะทำให้รถของพี่โจ๊กล้มคว่ำอย่างแน่นอน ตามแผนที่ทุกคนรู้เป็นเช่นนั้น หากแต่ไม่มีใครในพวกเราทั้งสามคนจะล่วงรู้ได้เลยว่า แผนของพี่เอ้มันร้ายกาจและแยบยลกว่านั้น เชือกที่ต้องดึงขึงนั้นมันไม่ใช่เชือกที่ธรรมดา หากแต่เป็นสายเคเบิลที่ทำจากเหล็กที่ถูลับให้คม และระยะที่พี่เอ้จัดให้ขึงเชือกเส้นนั้นมันไม่ได้อยู่ต่ำแค่เพียงล้อรถอย่างที่เขาบอก แต่มันถูกจัดระยะไว้อย่างพอดีกับลำคอของผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์
กว่าที่พวกเราจะรู้ตัวทุกอย่างก็สายเกินไปเสียแล้ว เมื่อเส้นเชือกถูกขึงดึง พี่เอ้ก็รู้ระยะดีอยู่แล้วก็เบรครถก่อนที่จะถึงเส้นเชือก หากแต่พี่โจ๊กที่บิดมาสุดแรงไม่ได้แตะเบรกแม้แต่น้อย และรวดเร็วเกินกว่าที่ใครจะไหวตัวทัน พวกผมรับรู้ถึงของเหลวที่กระซ่านกระเซ็นไปทั้งบริเวณนั้น มอเตอร์ไซค์ของพี่โจ๊กล้มคว่ำไม่เป็นท่า ร่างกายของพี่โจ๊กกระเด็นกระดอนไปหลายตลบ หากแต่เขาคงไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว เพราะทุกอย่างสำหรับพี่โจ๊กมันจบสิ้นตั้งแต่ที่หมวกกันน็อคของเขาร่วงลงสู่พื้นเพราะความคมของสายเคเบิล หมวกกันน็อคที่ร่วงลงไปพร้อมกับศีรษะของพี่โจ๊ก มันเหมือนกับว่าทุกๆ วินาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้า สายตาของพวกเราไม่อาจจะกระพริบ ทุกภาพที่เกิดขึ้นถูกบันทึกในความทรงจำอย่างละเอียดร าวกับตราบาปของปีศาจที่ทำสัญลักษณ์ไว้บนเหล็กร้อนบนกองไฟแห่งความชั่วอันแดงฉาน และมันถูกนาบเข้าไปในหัวใจอันเปราะบางของทุกคน
“มันบ้าบออะไรกันวะ” เสียงของหนุ่มสบถขึ้นมาหลังจากตกในความเงียบหลายนาที สีหน้าของพี่เอ้ยิ้มแย้มราวกับเพิ่งได้ทำสิ่งที่ภาคภูมิใจนักหนา
“ช่างมันเถอะ พวกมึงรีบหนีกันไปก่อนดีกว่า กูจะได้กลับไปบอกพวกมันว่าไม่รู้ใครมาทำกับดักเอาไว้” พี่เอ้บอกอย่างใจเย็น
“แล้วใครจะเชื่อวะพี่” เสียงของพจน์ถามอย่างกังขา เขาเองก็ไม่คิดมาก่อนว่าเรื่องทุกอย่างมันจะลงเอยเช่นนี้
“ช่างมันปะไร เชื่อกูเถอะ ถึงมันไม่เชื่อมันก็ไม่สืบต่อหรอก เดี๋ยวพวกมันก็ลืม แล้วพรุ่งนี้ตำรวจก็จะมา ไอ้โจ๊กมันก็แค่เด็กแว๊นอีกศพที่โดนกับดักอย่างนี้” พูดจบพี่เอกก็บิดมอเตอร์ไซค์กลับไป และนั่นก็เป็นการบังคับพวกเรากลายๆ ให้ต้องแยกย้ายกัน
สำหรับผมแล้ว เรื่องที่เพิ่งผ่านมาเป็นเหมือนฝันร้ายที่ไม่อาจลืมได้ลง แต่คนที่ยิ่งหนักกว่าผมนั่นก็คือ ทั้งหนุ่มและพจน์ มือของทั้งสองเปื้อนเลือดกลายเป็นฆาตกรฆ่าคนอย่างไม่ได้ตั้งตัว คืนนั้นเราสามคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้านด้วยความรู้สึกทุกข์ทรมานใจ เมื่อพอจะเดาเรื่องได้บ้าง ผมรู้สึกเกลียดพี่เอ้ขึ้นมาจับใจ อยากจะไปแจ้งตำรวจและประจานความเลวทรามของพี่เอ้ให้โลกได้รับรู้ แต่มันติดอยู่เพียงข้อเดียวเท่านั้น ข้อเดียวที่สำคัญอย่างที่สุด นั่นคือหนึ่งในเครื่องมือของพี่เอ้คือหนุ่มเพื่อนที่ผมรักมากที่สุด
คืนนั้นแม้จะกลับบ้านอาบน้ำแล้ว แต่ผมก็ไม่อาจข่มตาหลับลงได้ ภาพของพี่โจ๊กลอยเวียนซ้ำซากอยู่ในหัว รุ่งขึ้นผมถึงกับไม่สบายอาเจียนไม่หยุด และอาการประหลาดบางอย่างก็เกิดขึ้นกับผม ขากรรไกรของผมเริ่มค้างขยับไม่ได้ และอีก 1 สัปดาห์ต่อมาผมก็กลายเป็นคนที่พูดไม่ได้ อาการประหลาดของผมหมอตรวจไม่พบสาเหตุ แต่ผมกลับคิดว่าผมรู้ว่าเพราะอะไรผมถึงกลายเป็นคนที่พูดไม่ได้ มันเป็นเพราะผมแกล้งเป็นบื้อเป็นใบ้ไม่ยอมเล่าความจริงให้ตำรวจฟัง เพราะว่ากลัวเพื่อนของผมจะเดือดร้อน
ณ บัดนี้ ผมได้รับกรรมของผม แต่ก็อีกนั่นแหละแม้ผมจะรู้อยู่เต็มอกแต่ผมก็ไม่อาจพูดความจริงได้อยู่ดี นับเป็นเวลากว่าเดือนผมต้องทุกข์ทรมานในสภาพเช่นนี้ โดยไม่ได้รับข่าวจากใครๆ เลย เรื่องทุกอย่างมันคงจะเงียบไปแล้ว หากแต่ผมคิดผิด เพราะแม้ว่าจะไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้อีก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเวรกรรมจะหยุดไล่ล่าติดตามผู้ที่ทำผิด กฎแห่งกรรมยังคงทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์แบบ
ผมรับรู้เรื่องนี้ในเช้าวันหนึ่งที่หนุ่มมาหาผม เจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 คนที่พาตัวเขามา หนุ่มเข้ามาพูดคุยกับผมพร้อมด้วยกุญแจมือที่ล็อคมือเขาไว้ทั้งสองข้าง ผมสงสัยแต่ไม่อาจเอ่ยถาม ทว่าหนุ่มก็สมกับเป็นเพื่อนรักของผมเขารู้ดีว่าผมอยากรู้อะไร
“เราไปสารภาพผิดกับตำรวจแล้วนะเพื่อน แต่ไม่ต้องกังวลไปหรอก ถึงจะต้องถูกจับแต่มันก็ทำให้รู้สึกดีกว่า … กว่าเดือนที่ผ่านมามาก” หนุ่มบอกพร้อมด้วยท่าทียิ้มๆ สบายๆ ราวกับว่าการที่เขาถูกจับนั้นเป็นการยกภูเขาออกจากอก ในขณะที่ผมคิดว่าไม่ยุติธรรมเสียเลย ทำไมหนุ่มต้องถูกจับอยู่คนเดียว และดูเหมือนเป็นอีกครั้งหนึ่งที่หนุ่มราวกับจะล่วงรู้ความคิดของผม เขาเอื้อมมือมาแตะบ่าผมเบาๆ แม้มันจะทุลักทุเล เพราะต้องเอื้อมมาทั้งสองมือ แต่ผมก็รู้ได้ว่าเขาต้องการปลอบใจและให้กำลังใจผม
“อย่าห่วงเลยเพื่อน อย่างนี้ดีที่สุดแล้ว อย่างน้อยฉันก็ยังไม่ตาย” เขาพูดต่อ
“พี่เอ้ พจน์ตายแล้วนะ หลังจากเกิดเรื่องพจน์ไม่กล้าอยู่ที่นี่ต่อ เขาหนีกลับบ้านที่จังหวัดนครสวรรค์ กลับไปหางานทำที่นั่น แต่ดูเหมือนว่าเวรกรรมจะไม่ปล่อยให้เขาลอยนวล เพราะเพียงอีก 3 สัปดาห์ต่อมา พจน์ก็เกิดอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซค์ตกข้างทาง ไม่มีคู่กรณี แต่แรงกระแทกอย่างรุนแรงส่งผลให้ศีรษะของพจน์ขาดกระเด็น สภาพศพไม่ต่างจากพี่โจ๊กเลย” หนุ่มบอกเล่าด้วยสุ้มเสียงสม่ำเสมอ ในขณะที่ผมตัวชาเมื่อได้ยิน ทั้งผมและพจน์ต่างก็ถูกเวรกรรมเล่นงานตามสมควร
แม้อยากจะถามถึงพี่เอ้แต่ผมก็จนใจเพราะผมไม่สามารถเอ่ยคำถามออกมาได้ แต่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่หนุ่มดูเหมือนจะรู้ใจผม เขาไม่ปล่อยให้ผมต้องรอนานนัก
“ส่วนเรื่องของพี่เอ้ ยิ่งน่าพิศวงกว่านั้นอีก หลังจากที่เขาได้ความสะใจที่ฆ่าพี่โจ๊ก เขาก็ใช้ชีวิตต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น กินเที่ยวอย่างสนุกสนาน แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์กับพจน์ก็คิดว่าพี่เอ้คงนึกกลัวขึ้นมาบ้าง เพราะเขาไม่ยอมขับมอเตอร์ไซค์อีกเลย หากแต่เวรกรรมมีรูปแบบในการสนองอยู่เสมอ ใครจะไปเชื่อว่าถึงแม้พี่เอจะไม่ขี่มอเตอร์ไซค์แต่สุดท้ายก็กลับมีคนพบศพของเขาถูกฆ่าตัดหัวอยู่ภายในห้องพักของตัวเอง ไม่มีพยาน ไม่มีหลักฐานว่าใครเป็นคนทำ แต่พี่เอ้ก็ตายไปแล้ว ตายแบบหัวขาดไม่ต่างอะไรกับพี่โจ๊ก”
ถึงตรงนี้ผมเห็นแววตาของหนุ่มขรึมเครียดขึ้นแวบหนึ่ง แต่ก็เพียงแค่เว็บเดียวเท่านั้น ก่อนที่เขาจะหันมาพูดกับผม
“ดังนั้นเราจึงเลือกที่จะมอบตัวแล้วชดใช้กรรมในแบบของเราดีกว่าหนีกฎหมายแต่ก็ตายอย่างมีเวรมีกรรม ไปก่อนนะเพื่อน โชคดี”
หนุ่มพูดพร้อมลุกขึ้นจากเก้าอี้ค่อยๆ เดินหันหลังจากผม ตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกว่าได้ยินเสียงแก๊ก ใหญ่ๆ ตรงบริเวณขากรรไกรที่ค้างมาเป็นเวลานาน
“โอกอีอ๊ะเอื้อน” นั่นคือประโยคแรกที่ผมเอ่ยออกมานับจากวันที่ป่วย
ทุกวันนี้ผมหายเป็นปกติดีแล้ว หนุ่มเองก็ใกล้จะพ้นโทษแล้ว แต่สิ่งนึงที่เราทั้งสองคนยังไม่ลืมก็คือเหตุการณ์นั้น เหตุการณ์ที่ทำให้พวกเราต้องจดจำไปจนวันตาย ว่าเวรกรรมมีจริง
ที่มาและการอ้างอิง
กฏแห่งกรรม เรื่อง กับดักกรรม โดย ทะเลหมอก