เมื่อใดก็ตามที่กระแสเลือดในร่างกายของเราเต็มไปด้วยสารพิษ ผลที่ตามมาก็คือ ช่วงเวลาก่อนเที่ยงผู้ป่วยจะรู้สึกง่วงนอน เพราะเลือดที่ไม่สะอาดไหลไปหล่อเลี้ยงหัวใจ ทำให้หัวใจอ่อนล้า ไม่กระปรี้กระเปร่า บางรายจะมีกลิ่นตัว กลิ่นปาก เพราะเลือดพิษได้ไหลเข้าไปหล่อเลี้ยงปอด จากนั้นปอดก็จะขับเหงื่อออกมาทางผิวหนัง และระบบท่อลำเลียงต่างๆ ของร่างกาย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว สมองของคนเราก็จะเริ่มทำงานช้าลงเรื่อยๆ จนถึงขั้นสมองเสื่อมได้ในที่สุด การป้องกันและดูแลสมองของเราไม่ให้เสื่อมเร็วกว่าปกตินั้น อาจทำได้ง่ายๆดังนี้ คือ
1.ควรขับถ่ายเป็นประจำระหว่างเวลาตี 5 – 7 โมงเช้า
2.รับประทานอาหารเช้าทุกวัน และควรให้อยู่ในช่วงเวลา 7 – 9 โมงเช้า
3.หากไม่สามารถขับถ่ายได้ตามเวลาปกติจริงๆ ช่วงเวลายามบ่าย คือตั้งแต่ช่วงบ่ายโมง – 3 โมง ให้กินเครื่องดื่มสูตร โยเกิร์ตครึ่งถ้วย + นมสด 1 กล่อง + น้ำผึ้ง + น้ำมะนาว + กล้วย 1 ผล จะช่วยเปลี่ยนขยะในลำไส้เล็กให้เป็นวิตามินบี12 เพื่อส่งไปบำรุงสมองต่อไป หรือถ้าไม่สะดวกก็อาจใช้สูตรมะละกอดิบต้มน้ำนำมาชงชาดื่มก็ได้
นอกจากนี้ การนำหัวไชเท้ามาปรุงอาหาร ก็สามารถช่วยล้างสารพิษในกระแสเลือดได้เช่นกัน และที่จะลืมไม่ได้ก็คือ การดึงสารพิษออกจากหนังศีรษะและใบหน้า โดยการใช้ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร ไม่มีสารเคมีเจือปน เช่น การใช้แชมพูสระผมสมุนไพรใบบัวบก เป็นต้น งดใช้เครื่องสำอางและลิปสติกประเภทติดทนนานและมีสีเข้มจัด
ล้างพิษในลำไส้ อาหารสำหรับล้างพิษในลำไส้ และดูแลระบบดูดซึม เพื่อปรับสมดุลเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงสมองนั้น มีหลากหลายวิธีมาก ซึ่งในจำนวนนั้น ก็ได้แก่การล้างพิษด้วยวิธีใช้มะละกอดิบต้มน้ำ แล้วนำมาชงชาดื่มเป็นประจำ หรืออาจจะใช้กระเจี๊ยบแดงสดหรือแห้งมาต้มกับพุทราจีน เพื่อล้างหลอดเลือดก็ได้เช่นเดียวกัน รากหญ้าคา เก๋ากี๊ เก๊กฮวย ดอกมะลิ ดอกกุหลาบ และตะไคร้หอม เมื่อนำมาต้มรวมกันแล้วดื่มก็จะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยล้างลำไส้ได้ดี
ล้างพิษในตับ ปัจจุบันการล้างพิษในตับนั้นมีหลากหลายวิธีการด้วยกัน แต่ที่ง่ายที่สุด ดูเหมือนจะหนีไม่พ้นการกินล้างพิษอีกเช่นเคย โดยเฉพาะการรับประทานเห็ด 3 อย่าง เป็นอาหารหลักแทนเนื้อสัตว์ การกินขมิ้นชันก่อนนอน ซึ่งจะช่วยล้างสารเคมีในตับ ที่มาพร้อมกับการสะสมสารพิษในชีวิตประจำวันของคนเราได้อย่างดี และเหนืออื่นใดก็คือ การทำจิตใจให้สดชื่นแจ่มใส ไม่เครียด หรือหงุดหงิด จนกลายเป็นแหล่งสะสมของสารเคมี และอนุมูลอิสระมากมายที่จะเข้ามาทำลายร่างกายของเรา โดยเฉพาะเป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดมะเร็งนั่นเอง ทว่าไม่เพียงแต่ร่างกาย อารมณ์ และสภาพสังคมที่เราอยู่อาศัยเท่านั้น ที่มีผลต่อการสะสมของสารที่ก่อให้เกิดเซลล์มะเร็ง เพราะแม้แต่สารอัลฟาทอกซินหรือเชื้อราในถั่วลิสงป่น พริกป่น งาดำป่น หัวหอม กระเทียมที่ทิ้งเอาไว้นานๆ หรือจะเป็นเนื้อสัตว์รมควัน เนื้อย่างไหม้เกรียม เนื้อสัตว์หมักดินประสิว อาหารใส่สารกันบูด สารฟอกสีอาหารต่างๆ ที่เรารับประทานเข้าไปเป็นประจำเหล่านี้ ล้วนก่อให้เกิดมะเร็งได้ทั้งสิ้น
ดังนั้นในชีวิตประจำวันของเรา จึงควรระวังในเรื่องการรับประทานอาหารเป็นพิษ และควรจะบอกตัวเองอยู่เสมอว่า จะต้องมีร่างกายที่แข็งแรง มีจิตใจที่แจ่มใสมีอารมณ์ขัน และมีสุขภาพจิตที่ดีอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้เซลล์มะเร็งฉวยโอกาสตอนที่ร่างกายและจิตใจของเราอ่อนแอ เข้ามาทำลายเซลล์ต่างๆ ในร่างกายของเราได้
เรื่องที่เกี่ยวข้อง (คลิก!!)
- 9 ขั้นตอนแก้ปัญหาปากเหม็นถาวร ง่ายนิดเดียว
- กินอยู่อย่างไร ให้ห่างไกลจากโรคแผลร้อนใน
- มาทำความเข้าใจปัญหา เหงือกร่นจนฟันสึกเป็นร่อง อุดได้หรือไม่
- อ่านก่อนไปฟอกสีฟัน อยากฟันขาวแล้วฟอกสีฟัน ฟันจะขาวขึ้นแค่ประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี เท่านั้น
ที่มาและการอ้างอิง
รู้ทันโรคบริโภคสมุนไพร : โดย อารีรัตน์